เป็นที่ทราบกันดีว่า “ถนนเมืองไทยขึ้นชื่อเรื่องความอันตราย” จากสถิติอุบัติเหตุที่อยู่อันดับต้นๆ ของโลกเสมอมา ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเมื่อพูดถึงปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน มักพุ่งเป้าไปที่พฤติกรรมการขับขี่ของคน ในขณะที่อีก 2 ปัจจัยอย่างยานพาหนะ รวมถึง “สภาพถนน” ซึ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก แม้กระทั่งเมืองหลวงอย่าง กรุงเทพมหานคร (กทม.) ก็พบปัญหาไม่น้อย
ธนดล ภัควพล อายุ 26 ปี พนักงานเอกชน เป็นคนหนึ่งที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไป-กลับที่ทำงานทุกวัน กล่าวว่า ความปลอดภัยในการขับขี่รถบนถนนในกรุงเทพฯ นั้นน้อยมากทั้งเรื่องถนนที่ไม่สะดวก หยาบ และอันตราย บวกกับการขับขี่รถของคนในกรุงเทพฯ ก็ไม่ค่อยจะระวังกันเท่าไหร่ ทั้งฝ่าไฟแดงหรือการเปลี่ยนเลนกะทันหัน ซึ่งเป็นกันทั้งรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ จึงรู้สึกว่ามีอันตรายพอสมควร
“สำหรับถนนในต่างจังหวัดไม่ค่อยจะต่างกับถนนกรุงเทพฯมากสักเท่าไหร่ แต่ในต่างจังหวัดถ้าเป็นในเมืองถนนจะดีกว่ากรุงเทพฯ ไม่ค่อยมีหลุม-บ่อ หรือคลื่นให้เห็น หรือพบเจอเท่าในกรุงเทพฯทั้งที่เป็นเมืองหลวง เมืองที่ควรเจริญในทุกด้านแต่กลับแก้ปัญหาเรื่องถนนไม่จบสิ้น ดังนั้น เมื่อใกล้จะเลือกตั้งแล้วจึงอยากฝากถึงผู้ว่าฯ คนใหม่ที่จะเข้ามาบริหาร อยากให้ปรับแก้เรื่องที่ถนนมันเป็นหลุมเป็นบ่อที่ไม่มีความสม่ำเสมอกัน เพราะมันอันตรายมากถ้าขับมาด้วยความเร็ว และยังมีเศษตะปูหรืออะไรต่างๆ ที่ตกอยู่ที่พื้นพอขับรถผ่านไปยางจะแตกบ่อยๆ”ธนดล กล่าว
ธนดล ยังกล่าวอีกว่า อยากให้ถนนไม่มีน้ำขังเวลาฝนตก อยากให้ปรับแบบไม่ต้องมีคลื่น ซึ่งถนนกรุงเทพฯ ชอบมีลูกคลื่น เป็นอันตรายต่อรถคนขับและคนซ้อน และที่สำคัญปัญหาการคมนาคมที่อยากให้แก้ ด้วยค่าเดินทางแสนแพงสวนทางกับรายได้ที่ได้รับ เมื่อคำนวณค่าเดินทางรถโดยสารกับรถส่วนตัวที่ไม่ต่างกันมาก ทำให้คนส่วนใหญ่เลือกใช้รถส่วนตัวมากกว่าก่อให้เกิดปัญหารถติดตามมา หากปรับแก้ค่าโดยสารและทำคมนาคมดีขึ้น คาดว่าคนจะหันใช้บริการรถโดยสารมากกว่ารถส่วนตัวแน่นอน
เช่นเดียวกับ ภิรมย์ จันทร์สุระคนธ์ ซึ่งขับรถไปทำงานและทำธุระต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอยู่บ่อยครั้งตั้งข้อสังเกตว่า สภาพถนนต่างจังหวัดค่อนข้างสะอาด มีเส้นแบ่งการจราจรที่ชัดเจน มีป้ายจราจรคอยเตือนตามแยกต่างๆ รวมถึงบริเวณทางโค้งหรือจุดเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ และโดยส่วนใหญ่ถนนมีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่ปลูกประดับทั้งสองข้างทาง และเกาะกลางถนนโดยมีเจ้าหน้าที่แต่ละเขตรับผิดชอบ ดูแลตัดแต่งกิ่งให้สวยงามไม่กีดขวางการจราจรทำให้ปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน สร้างความสวยงามให้ถนนเส้นนั้นๆ
ซึ่งจะแตกต่างจากถนนในกรุงเทพฯ ที่มีการจราจรแออัด ทั้งคนและรถยนต์ สาเหตุนี้เข้าใจได้เพราะมีประชากรอยู่มาก แต่ยิ่งเป็นเขตชุมชนที่มีประชากรอยู่หนาแน่น ก็ยิ่งต้องดูแลเรื่องถนนหนทาง รวมถึง ป้ายและสัญญาณเตือนไฟจราจรต่างๆ ตามแหล่งชุมชน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดรวมถึงต้องคอยกวดขันเรื่องวินัยจราจร แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งผู้ขับรถยนต์เอง และ ประชาชนที่เดินทางเท้า
“ตัวอย่างเช่น ทางม้าลาย ควรจะปรับปรุงทาสีให้มีเส้นทางม้าลายให้ชัดเจนทั้งย่านชุมชนและตามตรอกซอกซอย รวมถึงทางโค้ง ทางอันตรายต่างๆ ทั้งทางยกระดับและทางราบ ควรมีการแจ้งเตือนผู้ขับรถยนต์ นอกจากนี้ ถนนควรมีความสะดวก สะอาด ปลอดภัยเพราะท่านผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ เป็นพ่อเมืองเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยเหลือประชาชนให้กินดี อยู่ดี มีสุขได้ปลอดภัย นั่นเอง จึงอยากขอฝากถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพฯคนใหม่ ที่กำลังจะเข้ามารับตำแหน่งในเร็ววันนี้ ให้ช่วยดูแลเรื่องการจราจร รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายจราจร รวมถึงผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวดมากกว่านี้ สังเกตได้จากการเกิดเหตุบนท้องถนนอย่างที่ผ่านๆ มา” ภิรมย์ กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.ศิรดล ศิริธร อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายการก่อสร้างและซ่อมแซมถนน ว่า ถนนมีด้วยกัน 2 แบบ คือ 1.ถนนคอนกรีต ข้อดีคือมีความทนทานสูง ไม่ต้องซ่อมแซมบ่อยๆ เหมาะสมกับถนนที่มีปริมาณการจราจรหนาแน่น แต่ข้อเสียคือราคาแพง และแม้จะไม่ต้องซ่อมแซมบ่อย แต่เมื่อจะซ่อมแซมก็มีขั้นตอนยุ่งยาก เนื่องจากต้องตัดแผ่นคอนกรีตแล้วยกออก มีการเทปูนประสาน ไม่ต่างจากการก่อสร้างอาคาร กับ 2.ถนนยางมะตอยหรือแอสฟัลต์ (Asphalt) ข้อดีคือมีราคาไม่แพง ส่วนข้อเสียคือความทนทานน้อยกว่าถนนคอนกรีต
จึงนิยมใช้เป็นถนนสายรอง รวมถึงแพน้ำ ซึ่งกรุงเทพฯ หรือแม้แต่ประเทศไทยในภาพรวม ถนนมีโอกาสเจอน้ำท่วมได้ง่าย ถนนยางมะตอยเมื่อน้ำซึมลงไปจะไปเซาะชั้นดินที่อยู่ด้านล่างออก ถนนจึงเกิดรอยแตกและทรุดตัวลง จนกลายเป็นหลุมบ่อในที่สุด ส่วนการซ่อมแซมหากทำแบบละเอียดก็ต้องตรวจสอบว่าน้ำเข้าไปทางไหนแล้วก็ปิดทางนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นถนนคอนกรีตหรือถนนยางมะตอย ข้อจำกัดคือ “ผู้ใช้รถใช้ถนนรอนานไม่ไหว” ทำให้ผู้ทำหน้าที่ซ่อมแซมถนนไม่อาจทำงานแบบประณีตได้ แม้การเร่งเปิดการจราจรจะมีคำถามเรื่องความปลอดภัยก็ตาม
“..ปิดถนนซ่อม ปิดนานขนาดไหน ปิดไม่ไหว เราก็เลยใช้วิธีเอายางมะตอยหรือแอสฟัลต์มาช่วยในการซ่อม แทนที่จะซ่อมดีๆ ทีเดียว เราก็จะซ่อมแบบชั่วคราว มันก็จะมีเทคนิคต่างๆ ในการซ่อม เอายางมะตอยมาอุดตามรอยที่มันแตก หรือไม่ก็ผสมยางมะตอยร้อนมาโปะเอาไว้ อะไรทำนองนั้น มันก็จะมีหน้าตาแบบนี้ หรือไม่บางทีก็เอายางมะตอยมาราดทับตัวคอนกรีตเข้าไปอีกทีหนึ่ง ทีนี้ยางมะตอยแป๊บเดียวมันก็แห้ง มันก็เปิดใช้ได้เลยแต่การทำแบบนั้นมันก็เหมือนเป็นการทำชั่วคราว แต่เราทำกันจนเหมือนเป็นวิธีการทำโดยถูกต้องกันไปแล้ว..
..ถ้าทำดีๆ มันต้องมานั่งดูว่าน้ำมันเข้าไปอย่างไร มันจะต้องไปบล็อกน้ำ ต้องไปอะไรพวกนี้ ซึ่งก็อีกนั่นแหละ เราก็จะหงุดหงิดหน่อยเวลาที่มันใช้เวลานานๆ เลย เขาก็จะใช้อย่างนี้ เอาแอสฟัลต์กลบ ทีนี้มันก็จะมีเทคนิคหลายๆ เทคนิค ถ้ามันเป็นหนักก็จะต้องทำซีล (Seal-ปิดผนึก) แบบหนึ่ง ถ้ามันเป็นน้อยๆ ก็ทำซีลอีกแบบหนึ่ง ซีลก็คือเหมือนเอาแอสฟัลต์ไปอุดรอยตามที่ต่างๆ เป็นเหตุผลที่ทำไมเราจะเห็นแปะๆ ไป จริงๆ หลักๆ มันคือวิธีการทำให้เร็ว เพื่อสามารถเปิดถนนให้ใช้ได้เร็วที่สุด..” ผศ.ดร.ศิรดล อธิบายการซ่อมถนนทั้ง 2 ประเภท
อนึ่ง ผศ.ดร.ศิรดล ยังกล่าวถึง “สภาพถนนที่ไม่เอื้อให้ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ปฏิบัติตามกฎจราจรได้” เช่น ถนนสายหลักที่ต้องใช้สะพานกลับรถ ขณะเดียวกัน ถนนซอยย่อยๆ
ก็ไม่เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ เป็นที่มาของพฤติกรรมการขับขี่ย้อนศรทั้งบนถนนและขึ้นบนทางเท้า เพราะระยะทางไปถึงสะพานกลับรถอยู่ไกลเมื่อเทียบกับการย้อนศร จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าคิดว่าจะแก้ไขอย่างไร
ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงอำนาจหน้าที่ก่อสร้าง ซ่อมแซม และบริหารจัดการถนน ซึ่งคาบเกี่ยวหลายหน่วยงาน ไม่ใช่เฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เช่น กรุงเทพมหานคร) เพียงหน่วยงานเดียว ก็เป็นอีกข้อจำกัดสำคัญ ในการทำให้โครงข่ายถนนในไทยสะดวกและปลอดภัย!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี