ว่าด้วยเรื่องของ “บุญบั้งไฟ” ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองเช่นเดียวกับหลายๆ บุญประเพณีที่กลับมาจัดกันอีกครั้งในปี 2565 หลังจากต้องว่างเว้นไปนานถึง 2 ปี จากการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19
ล่าสุด สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ได้จัดเสวนาออนไลน์ เรื่อง “ควบคุมปัจจัยเสี่ยงในช่วงเทศกาลบุญบั้งไฟ 2565” ซึ่งมีคนทำงานคลุกคลีเกี่ยวกับการขับเคลื่อนงาน“บุญบั้งไฟปลอดเหล้า ปลอดภัย ปลอดการพนัน” มาร่วมสะท้อนปัญหา และร่วมหาทางออกกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
โดย นายวิษณุ ศรีทะวงศ์ ผู้จัดการแผนนโยบายสาธารณะ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ระบุว่า ขณะนี้พบหลายพื้นที่มีการจัดบุญบั้งไฟอย่างยิ่งใหญ่ และพบปัญหาเข้าสู่วังวนเดิมๆ คือ มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เล่นพนันเช่นเดิม แม้ตัวเลขปีนี้อาจจะยังไม่ชัด แต่เคยมีงานวิจัยเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อนหน้านี้ พบเงินสะพัดกว่า 5 หมื่นล้านบาท
“ตอนนี้ไปไกลกว่านั้นคือ มีการพนันออนไลน์ ไม่ขานเวลา แต่ขานเป็นคะแนนแทน มีธุรกิจแอลกอฮอล์ไปส่งเสริมการขาย เริ่มพบการดื่มในขบวนแห่แม้ว่าจะมีกฎหมายห้ามก็ตาม เพราะกลไกบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ทำหน้าที่”
ที่ผ่านมา ภาคประชาชน ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ มีความพยายามรณรงค์ลด ละ เลิกการพนันบั้งไฟ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่รณรงค์อย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ อิทธิพลในพื้นที่ มีนายอำเภอบางอำเภอ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องถูกย้ายออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ภาคประชาชนยังมีความพยายามในการรณรงค์ต่อไป หลายพื้นที่มีความก้าวหน้า มีการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน ทำกติกาชุมชน เช่น จังหวัดศรีสะเกษมีการยกระดับสู่กลไก พชอ. มีการ MOU 22 อำเภอ ทำบั้งไฟปลอดโควิด ปลอดเหล้า ปลอดการพนัน ในขณะที่พื้นที่จัดงานขนาดใหญ่ทั่วภาคอีสาน มีการขับเคลื่อนไปแล้วกว่า 36 พื้นที่ แต่เทียบสัดส่วนแล้วยังถือว่าน้อย
และจากการสำรวจความเห็นของประชาชนทั้งในพื้นที่ที่ต้องการให้มีการจัดบุญบั้งไฟและที่ไม่ต้องการจัดบุญบั้งไฟ พบว่าส่วนใหญ่ หรือ 70% เห็นด้วยว่างานประเพณีดังกล่าวควรจัดให้ “ปลอดเหล้า ปลอดการพนัน” ไม่ควรรับสปอนเซอร์จากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เน้นคุณค่าความหมายของบุญบั้งไฟอย่างแท้จริงนั่นคือส่งเสริมความรัก ความสามัคคีของคนในชุมชน เป็นการบวงสรวงขอให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล
ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมประเพณีอันดีงามให้อยู่คู่กับชาวอีสาน นายวิษณุ จึงรวบรวมข้อเสนอแนะบนเวทีเสวนาว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนได้เพื่อให้เกิดความปลอดภัย คือเน้นคุณค่าความหมายของงานประเพณี กำหนดขนาดบั้งไฟไม่ให้ใหญ่เกินไปทำฐานจุดปลอดภัย กำหนดพื้นที่เขตปลอดภัย ติดร่มชูชีพที่บั้งไฟ ทำประกันอัคคีภัย กำหนดเขตห้ามดื่ม ห้ามขายเหล้า และเพื่อไม่ให้มีการเล่นพนันต้องมีนโยบายไม่ขานเวลา ไม่ขานคะแนน ให้ตำรวจดูแลเข้มข้น และที่สำคัญคือต้องมีนโยบายที่เข้มแข็ง มีมาตรการเชิงรุกจัดการความเสี่ยง รณรงค์สื่อสารต่อเนื่องดึงชุมชนมามีส่วนร่วม ทำวัฒนธรรมร่วมสมัย และเรื่องนี้ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ไม่ปล่อยให้ภาคประชาชนต้องโดดเดี่ยว
ด้าน นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่อมวลชนอาวุโส มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ กล่าวว่า ปัจจุบันบุญบั้งไฟเปลี่ยนไปเยอะประเพณีถูกแทรกด้วยอะไรที่เป็นสีเทา ซึ่งที่ผ่านมามีงานวิจัยเรื่องการพนันบั้งไฟ พบว่ามีการจัดการอย่างซับซ้อน มีปัญหาความรุนแรง การทะเลาะวิวาท ซึ่งมีสาเหตุมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงอุบัติเหตุต่างๆ ดังนั้นส่วนตัวคิดว่า การฟื้นฟูประเพณีดั้งเดิมนั้นมีหลายอย่างที่ต้องดำเนินการ ประเด็นแรก เชื่อว่าแม้จะมีพื้นที่จำนวนมากที่ธุรกิจการพนันเข้าไปพัวพัน แต่ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ธุรกิจสีเทานี้ยังไม่สามารถเข้าถึง ดังนั้นเครือข่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องค้นหาให้เจอ และเข้าไปจัดการเพื่อรักษาความดีงามของประเพณีไว้ให้ได้ อย่าปล่อยให้ธุรกิจแอลกอฮอล์ และการพนันเข้าไปครอบงำ หน้าที่เราต้องหาตรงนี้ให้เจอ
ประเด็นที่ 2 คือพลังนโยบาย ซึ่งจะเห็นว่าปัจจุบันบางจังหวัดก็เอาจริงเอาจัง อยู่ที่ความเข้มแข็งของผู้นำ และผู้เกี่ยวข้อง ดังนั้นควรมีนโยบายออกมาจากส่วนกลาง เช่นกระทรวงมหาดไทย ต้องออกนโยบายให้ชัดเจนเพื่อให้ทุกจังหวัดปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน
“จังหวัดที่ลงไปดู ไม่ว่าจะศรีสะเกษหรือจังหวัดอื่นๆ ที่ผู้ว่าฯ เอาจริง เน้นการจัดงานปลอดเหล้าการพนัน ปรากฏว่าพวกธุรกิจก็ย้ายไปยังจังหวัดที่ไม่เข้มแข็ง นี่คือช่องโหว่ให้ธุรกิจเข้าไปได้ ดังนั้น จะทำอย่างไรให้มีการผลักดันนโยบายจากส่วนกลาง ให้ทุกจังหวัดเนินการแบบเดียวกัน”
ประเด็นที่ 3 คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัดต้องทำงานอย่างเข้มแข็ง และประเด็นที่ 4 คือความร่วมมือของทุกฝ่าย รวมถึงสื่อมวลชนที่ควรเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา และสืบสวนสอบสวน ลงลึกถึงสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น ปัญหาอุบัติเหตุ คนทะเลาะวิวาท สิ่งที่นำเสนอไม่ใช่แค่ความเสียหายที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ต้นตอของปัญหาคือ “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” หรือ ปัญหาการพนัน ที่สาเหตุเกิดจากอิทธิพล และธุรกิจสีเทาเข้าไปติดต่อจัดบั้งไฟตามหมู่บ้านเสนอค่าตอบแทน เป็นต้น
ขณะที่ นายภาคภูมิ บุพมาศ ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าจังหวัดอุดรธานี ได้บอกเล่าถึงการทำงานขับเคลื่อนงานบุญประเพณีปลอดเหล้า ปลอดการพนัน ให้ฟังว่า ในช่วงแรกที่เข้าไปทำงานนี้ในพื้นที่มีปัญหาถูกต่อต้านทุกอย่าง จึงต้องอาศัยความอดทนการรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชน และผู้นำชุมชน จนปัจจุบันนี้มีความเข้าใจมากขึ้น การจัดงานบุญต่างๆรวมถึงบุญบั้งไฟจึงเน้นไปที่คุณค่า และความหมายของงานนั้น แต่ยอมรับว่าอาจจะไม่ 100% มีบ้างที่ยังพบคนดื่มเหล้าภายในงาน
ที่จริงช่วงก่อนโควิด เราค่อนข้างหนักใจ เพราะคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดไม่เคลื่อนเลย จึงใช้กลไกคณะกรรมการจัดระเบียบสังคมจังหวัด ที่เครือข่ายเป็นคณะทำงานร่วมกับสรรพสามิต ลุยไปทุกที่ ทุกแห่ง ปราบก่อน แล้วให้ฝ่ายปกครองดำเนินการต่อ ซึ่งสามารถจับเหล้าเถื่อนในเวทีคอนเสิร์ต หรืออย่างเช่นเมื่อ 2 ปีก่อน มีรถแห่ ที่มีเด็กนักเรียนคอซองมาร่วมด้วยจึงแจ้งผู้ว่าฯ ดำเนินการ จนปัจจุบันรถแห่เข้ามาได้ยาก แม้กระทั่งเรื่องการพนันจังหวัดอุดรฯ
ไม่เป็นรองจังหวัดอื่นเลย มีทั้งบ่อนวิ่ง เล่นนอกช่วงเทศกาลเงินสะพัดหลายล้านบาท ทางกำนันเครือข่ายเลยมาพูดคุยกัน ตอนนี้จึงไม่มีแล้ว
“ด้วยความร่วมมือทั้งภาคประชาสังคม ฝ่ายปกครอง นายอำเภอ เข้าไปขอความร่วมมือ ทำให้ ปีนี้บุญบั้งไฟที่จังหวัดอุดรฯเน้นประเพณีอย่างแท้จริง ไม่มีการพนัน ไม่มีเหล้า ไม่มีเวทีคอนเสิร์ต และออกข้อกำหนดให้จุดบั้งไฟได้ไม่เกิน 5 ลำเท่านั้น”
มาที่ นางอรดี วัดข้าวหลาม ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าจังหวัดยโสธร ผู้มีส่วนร่วมในการผลักดัน “นโยบาย 4 ปลอด” ระบุว่า เนื่องจากการระบาดของโควิด-19ทำให้การหารือถึงแนวทางการจัดงานบุญบั้งไฟนั้นเป็นไปอย่างกระชั้นชิด แต่ทั้งฝ่ายปกครอง สรรพสามิต ตำรวจ คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็พอมีเวลาได้ประชุมหารือกันอยู่หลายรอบ โดยมีการวิเคราะห์สภาพปัญหาของการจัดงานบุญในปีที่ผ่านๆ มา และหาข้อดีของการที่เว้นจากการจัดงานไป 2 ปี
“เราไม่ได้จัดมา 2 ปี เพราะโควิด ปีนี้ประชาชนเรียกร้อง และผู้ว่าฯ ก็อนุญาตให้จัดได้ภายใต้มาตรการควบคุมโรคเราจึงต้องมาหารือกัน โดยมองว่าขนาดงานช้างจังหวัดสุรินทร์ซึ่งเป็นงานใหญ่ยังทำให้ปลอดเหล้าได้ ยโสธรเลยคิดว่าบุญบั้งไฟก็น่าจะทำได้ โดยเอาวิกฤติโควิดมาเสริม ซึ่งในห้วงเหล่านี้น่าจะต้องคิดถึงความปลอดภัยเรื่องอะไรบ้าง นั่นคือปลอดโควิด ปลอดอุบัติเหตุ เพราะมีการขับเคลื่อนมาตลอดอยู่แล้ว ปลอดเหล้า และปลอดการพนัน จึงออกมาเป็นนโยบาย 4 ปลอด และดำเนินการขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่ต่อไป” นางอรดี กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี