“5 ก.ย. 2565” หรืออีก 106 วันข้างหน้า พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565ซึ่งสาระสำคัญคือ “กำหนดให้เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ” หรือที่เรียกว่า “คาร์ซีท (Car Seat)” จะมีผลบังคับใช้หลังจากที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2565 ซึ่งก็ทำเอาพ่อแม่ผู้ปกครองชาวไทยกังวลกับ “ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น” อยู่ไม่น้อย ยิ่งในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยุคข้าวยากหมากแพงอย่างในขณะนี้
ณัชณศา เกตุแก้ว อายุ 32 ปี คุณแม่ลูก 1 กล่าวว่า การมีคาร์ซีทไว้ให้ลูกนั่งเวลาเดินทางถือว่าเป็นเรื่องดีมากๆ เพราะเด็กจะมีความซุกซนตามวัย ซึ่งเราไม่มาสามารถรู้ได้เลยว่าลูกคิดอะไรและจะทำอะไร อีกทั้งอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา และการมีคาร์ซีทเป็นการสร้างความปลอดภัยขั้นพื้นฐานแก่เด็ก แต่ในขณะเดียวกันคาร์ซีทยังคงมีราคาสูงตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักหมื่น ทำให้บางคนที่หาเช้ากินค่ำหรือคนที่ไม่มีฐานะมากนักก็ไม่มีกำลังซื้อ
“เขาคิดว่าเอาเงินไปซื้ออย่างอื่นมีประโยชน์มากกว่า หรือเด็กบางคนเมื่อซื้อมาแล้วเขาก็ไม่ใช่นั่ง จะนั่งเป็นบางเวลา แต่เราต้องหัดให้เขานั่งให้เป็น และคาร์ซีทไม่จำเป็นต้องเด็กอายุ 1-2 ขวบนั่ง แต่เหมาะกับเด็กเล็กทุกคนถึงแม้ว่าจะอายุ 5-6 ขวบก็ยังนั่งได้อยู่ เพราะมันเหมือนเราคาดเข็มขัดนิรภัยให้ลูก ซึ่งเป็นการสร้างความปลอดภัยขณะเดินทางได้” ณัชณศา กล่าว
สำหรับกฎหมายที่ออกเรื่องของคาร์ซีทในมุมมองของคุณแม่รายนี้เห็นด้วยเป็นอย่างมาก เพราะหมายถึงความปลอดภัยของเด็ก แต่อยากให้รัฐควบคุมเรื่องราคาเพื่อรองรับกลุ่มผู้ปกครองรายได้น้อย ที่ไม่สามารถจะนำเงินจำนวนหลักพันมาซื้อได้เพราะต้องนำไปซื้ออาหารประทังชีวิตภายในครอบครัว ถึงแม้เขาจะรู้ว่ามันคือความปลอดภัยของลูกน้อยก็ตาม ขณะเดียวกันก็มีผู้ปกครองบางคนยังคงลังเลคิดว่า ซื้อมาแล้วลูกจะยอมนั่งหรือไม่
“เราก็คิดอยู่ตลอด ทำให้ก่อนจะตัดสินใจซื้อเริ่มหาข้อมูล ยี่ห้อ ราคา และสอบถามคนรอบข้าง จึงรู้ว่าถ้ายี่ห้อดีๆ ออฟชั่นเยอะราคาสูงถึง 3 หมื่นบาทอย่างของเพื่อนที่เพิ่งซื้อคาร์ซีทออฟชั่นดีมากๆ เพราะสามารถเป็นรถเข็นได้ด้วย แต่ราคา 50,000 ขึ้นซึ่งถือว่าแพงมากสำหรับชาวบ้านทั่วไป ทำให้คนเกิดลังเลว่าเอาเงินที่ซื้อคาร์ซีทไปซื้อนมให้ลูกกินแทนดีกว่า” ณัชณศา ระบุ
เช่นเดียวกับ สุธาวัลย์ เศรษฐจารุรักษ์ อายุ 30 ปี แม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงลูก 1 คนตามลำพัง กล่าวว่า การมีคาร์ซีทจะช่วยเรื่องความปลอดภัยในการเดินทาง หากเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เช่นการเบรกกะทันหัน ซึ่งการนั่งคาร์ซีทก็จะช่วยลดระดับความรุนแรงและลดการบาดเจ็บของเด็กได้ และนอกจากนี้ตัวเด็กก็จะนั่งสบาย ถ้าเกิดง่วงก็สามารถหลับได้เลย โดยที่แม่ไม่ต้องคอยอุ้มเวลาเดินทาง
“แต่ก็มีข้อเสียอยู่ คือ มีราคาค่อนข้างแพง และถ้าหากให้เด็กนั่งคาร์ซีทเป็นเวลานานจนเกินไปก็จะเกิดอันตรายต่อเด็กได้ เช่น การหายใจไม่ออก หรือมีการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ สำหรับทารกแรกเกิดจะยังมีปัญหาเรื่องความแข็งแรงของปอดและหัวใจ ซึ่งจะทำให้ทารกเผชิญกับภาวะกรดไหลย้อนได้” สุธาวัลย์ กล่าว
แม้พ่อแม่ผู้ปกครองจะเห็นความสำคัญของคาร์ซีท แต่สำหรับประเทศไทยที่ผู้คนจำนวนมากยังหาเช้ากินค่ำมีรายได้ไม่สูงก็ทำให้หลายคนลังเลเพราะอาจมีเรื่องอื่นจำเป็นกว่า ซึ่ง นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) เสนอแนะว่า 1.ควรใช้มาตรการทางภาษีเพื่อทำให้ราคาของคาร์ซีทถูกลง เพราะปัจจุบันคาร์ซีทที่มีจำหน่ายในไทยเป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ
2.ทำระบบฐานข้อมูลและแหล่งรวบรวมคาร์ซีทมือสอง เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้วร่างกายของเด็กเติบโตค่อนข้างเร็ว คาร์ซีทจึงต้องเปลี่ยนเกือบทุกปี ดังนั้นจะมีคาร์ซีทมือสองสภาพดีอยู่เป็นจำนวนมาก หากจัดทำฐานข้อมูลและแหล่งรวบรวมก็จะทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องซื้อคาร์ซีทมือหนึ่ง เป็นการลดค่าใช้จ่ายได้อีกทาง และ 3.ควรอนุญาตให้ใช้ “บูสเตอร์ซีท (Booster Seat)” แทนได้ บูสเตอร์ซีทเป็นเบาะรองนั่งยกสูงซึ่งมีเข็มขัดรัด และใช้ร่วมกับเข็มขัดนิรภัยปกติในรถยนต์ได้ ซึ่งก็ยังปลอดภัยระดับหนึ่ง แต่มีราคาถูกกว่าคาร์ซีทแบบที่นั่งเต็ม
ในเบื้องต้น จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2565 กำชับผู้จำหน่ายคาร์ซีทไว้ 2 ข้อ 1.ห้ามปรับขึ้นราคาโดยเด็ดขาด 2.หากมีการขอปรับราคาเพราะต้นทุนนำเข้าสูงขึ้นหรือเหตุอื่น ต้องขออนุญาตกรมการค้าภายในก่อน สืบเนื่องจากในเวลานั้นมีรายงานว่า ราคาคาร์ซีทปรับเพิ่มสูงขึ้นรับกฎหมายใหม่ ทั้งนี้ “การฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า อาจมีความผิดฐานค้ากำไรเกินควร ตามมาตรา 29ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542” มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปีหรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อีกด้านหนึ่ง เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมามีเวทีเสวนา “คาร์ซีท คาใจ เลือกแบบไหนเพิ่มความปลอดภัยให้ลูก” ที่ รร.ทีเค พาเลซ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ซึ่ง รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำการเลือกใช้คาร์ซีทที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงวัย ดังนี้
“1.ที่นั่งนิรภัยต้องใช้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด และเด็กอายุ 2-6 ปี ควรใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กเล็กที่มีที่ยึดเหนี่ยวในตัวนั่งหันหน้าไปด้านหน้า (Forward Facing Seat) มีสายรัดตัวเป็นแบบยึดเหนี่ยวร่างกายเด็กไว้ 5 จุด 2.การอุ้มเด็กนั่งตักในเบาะหน้าคือจุดที่อันตรายที่สุดในรถ 3.เด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี ให้นั่งเบาะหลังเสมอ ความเสี่ยงต่อการตายจะลดลง 2 เท่าตัว 4.การใช้ระบบยึดเหนี่ยวในรถเป็นมาตรการลดการบาดเจ็บการตายที่สำคัญจากการกระเด็นทะลุกระจกหรือลอยจากที่นั่งตามความเร็วรถชนกระแทกโครงสร้างภายในรถหลังอุบัติเหตุรถชนหรือคว่ำ
5.เด็กอายุน้อยกว่า 9 ปี ต้องใช้ที่นั่งนิรภัยให้เหมาะสมตามวัย และต้องยึดเหนี่ยวให้ถูกวิธี ตามคําแนะนําของแต่ละผลิตภัณฑ์ และ 6.เด็กที่จะใช้เข็มขัดนิรภัยได้เหมาะสมปลอดภัยก็ต่อเมื่อมีอายุ 9 ปีขึ้นไป หรือความสูงตั้งแต่ 135 ซม. ขึ้นไปเท่านั้น มิฉะนั้นเข็มขัดนิรภัยอาจกลายเป็นตัวการทำอันตรายต่อเด็กอย่างรุนแรงได้” รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายสำคัญอยู่ที่ “รถกระบะ 2 ประตูมีแค็บ” ซึ่งตามกฎหมายแล้วไม่อนุญาตให้คนโดยสาร แต่ที่ผ่านมาทางการได้อนุโลมให้นั่งได้มาตลอดจนกลายเป็นวิถีชีวิตไปแล้ว เช่นเดียวกับการนั่งท้ายกระบะ ดังที่เคยมีกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชนในปี 2560 เมื่อรัฐบาลในเวลานั้นมีแนวคิดห้ามนั่งท้ายกระบะและในแค็บจนสุดท้ายต้องพับแนวคิดดังกล่าวเก็บไป
เมื่อที่นั่งแค็บซึ่งไม่สามารถติดตั้งคาร์ซีทได้แล้วจะให้ทำอย่างไร..เรื่องนี้น่าคิด!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี