'กรมศิลปากร' ขุดค้นพบวัดร้างโบราณ สมัยเป็นเมืองมรุกขนคร คาดใหญ่สุดในจังหวัด

'กรมศิลปากร' ขุดค้นพบวัดร้างโบราณ สมัยเป็นเมืองมรุกขนคร คาดใหญ่สุดในจังหวัด

วันพุธ ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2565, 15.56 น.

กรมศิลปากรขุดค้นวัดร้างโบราณบ้านหนองจันทร์ สมัยเป็นเมืองมรุกขนคร พบร่องรอยความยิ่งใหญ่ทางพระพุทธศาสนา มีศาสนสถานคาดใหญ่สุดในจังหวัด

สืบเนื่องจากสํานักศิลปากรที่ 10 ร้อยเอ็ด ได้สํารวจทางโบราณคดีในพื้นที่อําเภอเมืองนครพนมในปี พ.ศ.2552 และปี พ.ศ.2560 ได้พบโบราณสถานรวมทั้งสิ้น จํานวน 30 แห่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นซากวัดร้าง จึงทําให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า กลุ่มโบราณสถานดังกล่าวน่าจะส่วนหนึ่งของหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเมืองมรุกขนครในอดีต


 

 

ต่อมาต้นปี 2565 สำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี โดยนายสมเดช ลีลามโนธรรม ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี พร้อมด้วย นางสาวเมริกา สงวนวงษ์ นักโบราณคดีปฏิบัติการ และนางสาวณิชกุล วัฒนกุล ผู้ปฏิบัติงานด้านบันทึกข้อมูลทางโบราณคดี ได้ดำเนินการติดตามผลการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งโบราณสถานมรุกขนคร ได้แก่ วัดร้างศรีจันทร์,วัดธาตุเมืองเก่า (วัดแต้มร้าง),วัดร้างนาป่ง (วัดก้อนเส้า) ต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม ซึ่งเป็นหนึ่งในสามวัดของโครงการขุดค้นและขุดแต่งเมืองเก่ามรุกขนคร โดยเคยเป็นพื้นที่ตั้งของเมืองนครพนมเดิม

 

 

โดยวัดร้างศรีจันทร์ตั้งอยู่บ้านหนองจันทร์ หมู่ 1 ต.ท่าค้อ อยู่ติดฝั่งแม่น้ำโขง ก่อนหนาที่จะมีการขุดค้นมีเพียงเจดีย์อยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้น ใกล้กับองค์เจดีย์มีพระพุทธรูป 2 องค์ประดิษฐานอยู่ในศาลาที่ชาวบ้านร่วมใจกันสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ เมื่อกลุ่มโบราณคดีเข้ามาแผ้วถางป่าที่รกครึ้มบริเวณนั้น ก็พบเนินดินไม่น้อยกว่า 4 แห่ง เชื่อว่าใต้พื้นดินแห่งนี้จะมีซากปรักหักพังให้สืบค้นร่องรอยประวัติศาสตร์ของเมืองมรุกขนคร

ผลการขุดสำรวจพบร่องรอยของแนวอิฐของเจดีย์โดยเรียงตัวยาวในแนวระนาบเหนือ-ใต้ เบื้องต้นพบร่องรอยที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น ตัวเจดีย์ที่มีองค์ประกอบของฐานเขียงผังสี่เหลี่ยมซ้อนกันสองชั้นเพื่อรองรับฐานปัทม์ผังแปดเหลี่ยมที่ซ้อนกันลดหลั่นขึ้นไปสามชั้น โดยมีองค์ระฆังตั้งอยู่ด้านบนและส่วนปลายยอดพัง ทั้งนี้บริเวณตรงกลางฐานเจดีย์ถูกขโมยเจาะเป็นโพรงเพื่อหาสมบัติ

 

 

นอกจากนี้ยังพบเศียรพระพุทธรูปขนาดเล็กทำด้วยหินทรายปรากฏอยู่ในหอพระ เศษกระเบื้องหลังคาดินเผา/ดินขอจำนวนมาก ทั้งยังพบแผ่นกระเบื้องหลังคาดินเผาที่มีสภาพสมบูรณ์ และโลหะสำหรับยึดกระเบื้องหลังคา ที่น่าสนใจคือพบโลหะลักษณะคล้ายดาบสองชิ้น ฝังอยู่บริเวณใกล้กับองค์เจดีย์ ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ในการประกอบพิธีกรรมบางอย่าง มีผู้รู้เสนอว่าน่าจะเป็นตุง(ทุง)/ธงกระด้าง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ล้านนารับมาจากพม่า และดินแดนล้านช้างอาจรับมาอย่างแพร่หลายในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาฯ สำหรับถวายบูชาแด่พระรัตนตรัย โดยส่วนปลายทั้งสองด้านมักจะทำให้แหลมใช้แขวนติดกับเสา นิยมถวายเป็นคู่ไว้หน้าพระประธานหรือหน้าอุโบสถ วิหาร บางแห่งทำไว้กลางลานวัดหรือใกล้พระเจดีย์

 

 

ทั้งนี้ บริเวณฝั่งตรงข้ามของเจดีย์ ซึ่งปัจจุบันสร้างเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก พบฐานของวิหารขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีวิหารเล็กอยู่เหนือขึ้นมาทางทิศตะวันออก ส่วนเนินดินที่อยู่อีก 2 จุดที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ยังไม่ได้ลงมือขุดประกอบกับเข้าสู่ฤดูฝนจึงชะลอการค้นหาก่อน คาดว่าวัดร้างศรีจันทร์แห่งนี้ในอดีตเป็นวัดขนาดใหญ่ และสมบูรณ์ที่สุดในนครพนมเท่าที่ขุดค้นมา

ล่าสุด วันที่ 22 มิ.ย.65 นายพิชญา โพชราษฎร นายก อบต.ท่าค้อ ได้รับการเปิดเผยว่าทาง อบต.ฯหากได้รับการมอบพื้นที่จากกรมศิลปากรก็จะเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ให้เยาวชนศึกษา แต่ทุกวันพุธก็นำเจ้าหน้าที่เข้าไปทำความสะอาดอยู่ประจำ

ด้าน นายวิทนะ กรุงเกตุ นักพัฒนาการท่องเที่ยว อบต.ท่าค้อ เผยว่าการขุดค้นร่องรอยยังไม่จบ วัดร้างศรีจันทร์มีเนื้อที่กว้างประมาณ 5 ไร่กรมศิลปากรต้องเดินหน้าขุดค้นต่อไป เท่าที่ทราบขณะนี้กรมศิลปากรส่งตัวอย่างอิฐให้ต่างประเทศพิสูจน์ว่าวัดแห่งนี้มีอายุกี่ปี

 

 

ส่วน น.ส.ญาณณ์ณิศา พรหมวิศาสตร์ ผอ.กองการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม อบต.ท่าค้อ กล่าวว่ารู้สึกตื่นเต้นจากการขุดค้นประวัติศาสตร์ของเมืองมรุกขนคร ถือว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์มากที่ค้นพบร่องรอยศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ เหนือความคาดหมายของคนในพื้นที่มาก ขณะที่วัดโบราณอีกสองแห่งก็ค้นพบวัตถุโบราณ รวมข้าวของเครื่องใช้ของบรรพบุรุษจำนวนมาก แต่ผู้ที่จะเล่าถึงประวัติได้ดีที่สุดต้องให้กรมศิลปากรเป็นผู้นำเสนอ เพราะเขามีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ

ชื่อเมืองมรุกขนครมีชื่อปรากฏตามอุรังคนิทานหรือตำนานพระธาตุพนม (พิสดาร) ของพระธรรมราชานุวัตร อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารได้เรียบเรียงไว้ตอนหนึ่งว่า สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดสัตว์ที่แคว้นศรีโคตรบูรณ์ มีพุทธทำนายว่าเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้วเมืองศรีโคตรบูรณ์จักย้ายไปตั้งที่ป่าไม้รวก มีนามว่าเมืองมรุกขนคร ซึ่งสันนิษฐานกันว่าหมายถึงเมืองที่อยู่ในดงไม้รวก ตามสภาพภูมิประเทศที่สร้างบ้านแปงเมืองนั้นเอง

ประมาณ พ.ศ.500 สมัยพญาสุมิตรธรรม ผู้ครองเมืองมรุกขนคร เป็นกษัตริย์ผู้มีจิตศัรทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า มีการบูรณะพระธาตุพนมขึ้นเป็นครั้งแรก โดยก่อพระลานอูบมุงชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 แล้วสร้างกำแพงล้อมรอบมีงานฉลองสมโภชอย่างมโหฬาร ซึ่งพระอุรังคธาตุได้แสดงปาฏิหาริย์อัศจรรย์ยิ่ง ทำให้พญาสุมิตรธรรมบังเกิดความปิติโสมนัสมาก นอกจากถวายทรัพย์สินมีค่ามากมายเป็นพุทธบูชาแล้ว ยังมอบหมายให้หมู่บ้านทั้ง 7 แห่งในเขตแดนนั้นเป็นผู้ดูแลรักษาองค์พระธาตุ

 

 

หลังจากสิ้นพญาสุมิตรธรรม ได้มีผู้ครองนครต่อมาอีก 2 พระองค์ ก็เกิดเหตุอาเพศแก่อาณาจักรศรีโคตรบูรณ์จนกลายเป็นเมืองร้าง กระทั่งถึง พ.ศ.1800 เจ้าศรีโคตรบูรณ์ได้สร้างเมืองมรุกขนครขึ้นใหม่ใต้เมืองท่าแขกบนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ใน พ.ศ. 2057 สมัยพระเจ้านครหลวงพิชิตทศพิศราชธานีศรีโคตรบูรณ์ได้เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่กลายเป็นเมืองศรีโคตรบูรณ์ตรงตามชื่ออาณาจักรเดิม ในสมัยนี้ยังมีการบูรณปฎิสังขรณ์พระธาตุพนมเรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2280 พระธรรมราชาเจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์องค์สุดท้าย ได้ย้ายเมืองมาตั้งบนฝั่งขวา (ฝั่งไทย) เยื้องเมืองเก่าไปทางเหนือแล้วขนานนามเมืองใหม่ว่า เมืองนคร จากนั้นมีการโยกย้ายชุมชนเมืองอีกหลายครั้ง

พ.ศ.2321 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้มีการย้ายเมืองมาตั้งที่บ้านหนองจันทร์ ห่างขึ้นไปทางเหนือ 52 กิโลเมตร และในปี พ.ศ. 2333 รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองนครก็ได้ขอขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร โดยพระองค์ทรงพระราชทานนามใหม่ขึ้นว่านครพนม ส่วนชื่อนครพนมนั้นมีข้อสันนิษฐานประการหนึ่งว่า เมืองนครเคยเป็นเมืองลูกหลวงมาก่อน และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ จึงได้ใช้ชื่อว่า นคร ส่วนคำว่า พนม ก็มาจากพระธาตุพนม ปูชนียสถานที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน หรืออีกนัยหนึ่งคือ เดิมเมืองมรุกขนครตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงในบริเวณที่มีภูเขาสลับซับซ้อน จึงนำคำว่า พนม ซึ่งแปลว่าภูเขามาใช้ นครพนม จึงหมายความถึง เมืองแห่งภูเขา.-008 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top