คนไทยคงเบื่อหน่ายกับการเมืองไทย และนักการเมืองของไทยเป็นอย่างมาก จึงมีคอลัมนิสต์กิตติมศักดิ์ระดับอาวุโส ท่านหนึ่ง เขียนหัวข้อลงตีพิมพ์ว่า “นักการเมือง (คือ) มนุษย์ประเภทไหน”
แล้วท่านก็จำแนก ตามวรรณคดีไตรภูมิพระร่วง ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ท่านแยกมนุษย์ออกเป็น 3 ประเภท คือ
อภิชาตบุตร :- เฉลียวฉลาด ดีงาม เจริญกว่าพ่อแม่
อนุชาตบุตร :- ดีงาม เจริญพอๆ กับพ่อแม่
อวชาตบุตร :- เลว ถ่อย กว่าพ่อแม่ ทุกประการ
คอลัมนิสต์ผู้อาวุโสทั้งการศึกษา ฐานะการงาน ความรับผิดชอบต่อสังคม
และวัยวุฒิ ท่านนี้ คงอยากให้เรามองดูสภาพการเมืองไทยในปัจจุบัน คิด และ
แยกแยะว่า นักการเมืองเป็นมนุษย์ประเภทไหน ตามวรรณคดีไตรภูมิพระร่วงนั้น
และท่านก็ต่อไปอีกว่า มนุษย์มี 4 จำพวก คือ
คนนรก ได้แก่ ฝูงคนที่ทำบาป เป็นประจำ
คนเปรต ได้แก่ ฝูงคนที่ไม่ชอบทำบุญ ไม่ทำความดี
คนดิรัจฉาน ได้แก่ ผู้ที่ไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักบาป ยำเกรงผู้เฒ่าผู้แก่
พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ทำแต่ความชั่วเป็นอาจิณ
คนมนุษย์ ได้แก่ ผู้ที่รู้จักรับผิดชอบ รู้จักบาปและบุญ รู้จักละอาย แก่บาป มีความเมตตากรุณา รู้เคารพพ่อแม่ และผู้แก่เฒ่า รู้จักทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้ผ่องใส ปราศจากกิเลส
คอลัมนิสต์ท่านนี้ ก็คงอยากให้ท่านผู้อ่านลองแยกแยะดูว่านักการเมืองไทยในปัจจุบัน เป็นมนุษย์พวกไหนใน 4 จำพวกนี้
ผู้เขียนก็ไม่อยากไปตอบแทนท่านผู้อ่าน ว่านักการเมืองไทย เป็น บุตรประเภทไหน ตามตำราไตรภูมิพระร่วง และ คนประเภทไหน ตามหลัก
พระพุทธศาสนา และโอวาทปาติโมกข์ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ในวันเพ็ญเดือนสาม หลังตรัสรู้แล้ว 9 เดือน
แล้ว นักการเมือง คืออะไรเล่าโดยที่ผู้เขียนมิใช่นักภาษาศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ หรือนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ จึงต้องไปเปิด พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554
ซึ่งบัญญัติไว้ว่านักการเมือง ผู้ฝักใฝ่ในทางการเมือง ผู้ที่ทำหน้าที่ทางการเมือง เช่น รัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา
ผู้เขียนจึงขอ ฟันธง มา ณ ที่นี้เลย ว่า ประเทศไทยยังจำเป็นจะต้องมีผู้ฝักใฝ่ทางการเมือง และผู้ทำหน้าที่ทางการเมือง (ใช้อำนาจอธิปไตยทั้งสาม คือ อำนาจออกกฎหมาย (หรืออำนาจนิติบัญญัติ) อำนาจตัดสินคดีความ (หรืออำนาจตุลาการ) และอำนาจในการบริหารบ้านเมือง (หรืออำนาจบริหาร) แทนปวงชนชาวไทยทั้ง 70 ล้านคนอยู่
แต่เราก็ไม่ควรมี นักการเมือง ในคุณภาพและที่มาเช่นในสภาพปัจจุบัน ดังเช่นที่ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รักเกียรติ สุขธนะ
ผู้เป็น สส. จังหวัดอุดรธานี 7 สมัย เป็นรัฐมนตรี 5 ครั้ง และถูกศาลตัดสินจำคุก 15 ปี จากผลการทุจริตในกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์ขณะพ้นโทษและกำลังเป็นพระภิกษุว่า “สมัยมาเล่นการเมือง ก็มาด้วยอุดมคติ แต่สภาพของการเมือง (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หรือ Parliamentarian Democracy) ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ทำให้ต้องหาเงินมาเลี้ยงดู สส. ในมุ้งของตน จากการเข้าสู่การเมืองด้วยอุดมคติ ก็กลายเป็นเริ่มเข้าสู่ด้านมืด ต้องหาเงินมาเพื่อมีตำแหน่ง และอำนาจสูงขึ้น” สส. แทนทุกคนจะ “เปรียบเสมือนมาสว่าง แต่ช่วงกลางมืด เพราะสภาพการเมืองที่ต้องหาเงินจากอำนาจทางการเมืองมาดูแลมุ้ง หรือพยุงมือที่ยกสนับสนุนตำแหน่งรัฐมนตรีให้”
และพระรักเกียรติ รักขิตะ ธัมโม ได้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ว่า “การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับการเลือกตั้ง ไต่เต้าทางการเมืองประสบความสำเร็จ และเข้ามาเล่นการเมืองก็ดูรุ่นพี่
ระบบการเมืองไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ ผู้ใหญ่ทางเมืองอุปถัมภ์ผู้น้อย นักการเมืองใหม่ๆ เข้ามารับการอุปถัมภ์จากเขา ที่สำคัญมาดูว่าเขาต้องทำอย่างไรจึงจะได้เป็น สส. ได้เป็นรัฐมนตรี ซึ่งก็ต้องมีเงิน “ความจำเป็นการเข้าสู่ตำแหน่งทางเมืองก็คือการใช้เงิน” พระอาจารย์รักเกียรติ กล่าวจึงเห็นได้ชัดๆ ว่า โครงสร้างของระบอบประชาธิปไตยที่เราใช้อยู่ หรือที่เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) ส่งเสริมและบังคับให้ นักการเมืองต้องทำเช่นนี้
จนประชาชนชาวไทยเอือมระอา และเอามาปรับทุกข์กันว่า “นักการเมือง
คือ มนุษย์ ประเภทไหน”
ถ้าเราพิจารณาโครงสร้าง ของระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน และผู้ใช้อำนาจอธิปไตย แทนปวงชนชาวไทย จะมีภาพออกมาดังนี้
หากคนไทยช่วยกันแยกอำนาจทั้งสามออกจากกันโดยเด็ดขาด มีที่มา (ผู้เลือกตั้ง หรือ สรรหา) หรือ (Electoral Body) จากแหล่งที่แตกต่างกัน
และ ใช้อำนาจคานกันอย่างสมดุล เพื่อมาทำหน้าที่ อย่างไม่ก้าวก่ายหรือ
ทับซ้อนกัน เพื่อเป็น :-
นักตุลาการ
นักนิติบัญญัติ
นักบริหาร
คำว่า “นักการเมือง” จึงจะไม่เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ จากปวงชนชาวไทย
อีกต่อไป และประเทศไทย ก็จะมี การใช้อำนาจแทนปวงชน (ประชาธิปไตย) ที่สมดุลกัน (Balance Democracy) สำหรับชาวไทยตลอดไปอย่างยั่งยืน มีประสิทธิภาพ
ไม่ต้องมานั่งถกกันว่า “นักการเมือง เป็นมนุษย์ประเภทไหน” ถึงแม้เรายังจะต้องมี “ผู้ที่สนใจการเมือง” อยู่
1.การเลือกตั้งคนมาเป็น นักนิติบัญญัติ ก็เป็นไปเหมือนเดิม แต่จะไม่มี เจ้าพ่อ มุ้งใหญ่ บ้านใหญ่ อีกต่อไป เพราะไม่ต้องใช้เงิน แจกกล้วย โอนเงินให้ประจำเดือน และใช้บารมีแล้ว ก็จะสามารถเลือกคนมีอุดมการณ์ มีผลงานดีๆ ได้เลย
2.การคัดเลือกและอบรม (หรือสร้างคน grooming) มาเป็นนักตุลาการ
ใช้อำนาจยุติธรรม ก็เป็นไปเหมือนเดิม และเมื่อไม่มี “นักการเมือง ในระบบ ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา” มาคอยติดสินบนด้วยถุงขนมแล้ว ประชาชน
ชาวไทยก็จะมีความสุขอยู่กับผู้ใช้อำนาจตุลาการ (Judiciary) แทนท่าน อย่างนอนตาหลับ
3.ส่วนการหาคนมาใช้อำนาจบริหาร (Executive Power) แทนคนไทย
นั้น ก็ควรจะเลือกคนดี ประเภทอภิชาตบุตร คนดีประเภทรู้จักผิดและชอบ รู้จักละอายแก่บาป มีกิเลสน้อย รู้ว่าอะไรคือความชั่ว อะไรคือความดี และเลือกทำแต่ความดี หรือยึดถือในมนุษยธรรม นั่นเอง โดยนักบริหารมืออาชีพด้วยกันเอง เพราะรู้ดีกันอยู่แล้ว ว่าใครเป็นคนดี คนไม่ดี ใครมีความสามารถแค่ไหน เพียงใด
แต่ก็ต้องเป็นนักบริหารมืออาชีพ (Professional Executive) ซึ่งจะหาได้ไม่ยาก จาก
ก.นักบริหารด้านธุรกิจ เช่น ประธาน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทมหาชนจำกัด ในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทใหญ่ที่มีรายได้ และ
เสียภาษีจำนวนอย่างน้อยปีละเท่าใดให้แก่รัฐ เป็นต้น
ข.นักบริหารด้านรัฐกิจ เช่น อดีตอธิบดี รองอธิบดี หรือเทียบเท่า
ผู้อำนวยการรัฐวิสาหกิจ หรือตำรวจทหาร ที่เทียบเท่า ที่ปฏิบัติหน้าที่มาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ปี โดยไม่มีข้อเสียหาย
ค.นักบริหารด้านประชากิจ เช่น ประธาน รองประธาน ของหน่วยงาน
ด้านประชากิจ ที่ พ.ร.ป. จะกำหนด เช่น มูลนิธิระดับใด สมาคมวิชาชีพระดับใด องค์กรที่ทำงานเพื่อสังคมโดยไม่หวังผลตอบแทน ประเภทใดบ้าง เช่น วิสาหกิจเพื่อสังคม สหกรณ์ต่างๆ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม เป็นต้น
และนักบริหารมืออาชีพเหล่านั้น ซึ่งรู้ฝีมือและความดี ความชั่ว ระหว่างกันอยู่แล้ว จะเป็นองค์กรเลือกตั้ง (Electoral Body) เลือกตั้งผู้เป็นคนดี มีความสามารถ มาเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร
แล้วท่านจะรู้สึกว่า ท่านได้ปลดแอก จากความคิดของประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ของฝรั่ง ซึ่งโบราณแล้ว และทำประเทศไทย หยุดชะงักมา 93 ปี(จากปีพ.ศ. 2475)
โดยเราหันมาใช้โครงสร้างประชาธิปไตยแบบไทยประดิษฐ์เสียที
จะได้ไม่ต้องมาอกหักอยู่กับ การแยกแยะว่า นักการเมืองไทย เป็นมนุษย์ประเภทไหน
ประเทศไทยจะได้เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทันญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย (และเวียดนาม) กันเสียที
The voice of Majority
is not a proof of justice
เสียงข้างมากยากพิสูจน์ ว่าเป็นทูตความเป็นธรรม
เสียงนั้นอาจน้อมนำ สำเนียงพร่ำของโจรไพร
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี