“วิชามาร” คืออะไร ในการเมืองของไทย ท่านผู้อ่านที่สนใจกับปัญหาบ้านเมือง ก็คงจะทราบแล้ว ทั้งนั้น
แต่ Gen Z ซึ่งเพิ่งมีอายุไม่ถึง 30 ปี อาจจะยังไม่ทราบ จึงขอสรุปให้ทราบสั้นๆ ดังนี้
วิชามารในทางการเมืองของประเทศไทย ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2475 (อันเป็นประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy)
1. ต้องทุจริตคอร์รัปชั่น ในการจัดซื้อจัดจ้าง โครงการต่างๆ ของรัฐ เพื่อหาเงินมา :-
1.1 ซื้อเสียงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
1.2 ซื้อเสียงผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง เพื่อเอามาเข้าพรรค
1.3 ตั้งพรรคการเมือง เพื่อหาเสียงข้างมากเข้ามาเป็นรัฐบาล (ผู้ใช้อำนาจบริหาร หรือ Executive Power)
1.4 ต้องหาเงินมาเลี้ยง สส. (หรือ สจ., สท.) ในสังกัดเป็นรายเดือน รายครั้ง
1.5 ต้องใช้ระบบเล่นพวก (Nepotism) ในการเลือกคนเข้ามาบริหารประเทศ
2.หรือต้องเป็น “เจ้าพ่อ” “บ้านใหญ่” “มุ้งใหญ่” ในท้องถิ่นหรือภูมิภาคของตน เพื่อมีบารมี มีเงิน มีอิทธิพล ที่พอจะดำเนินการตาม 1.2-1.5 ได้
3.ต้องหาทางล้มล้าง ฝ่ายตรงข้าม ที่เข้าไปบริหารประเทศ ให้จงได้ เพื่อให้ฝ่ายที่บริหารอยู่ ขาดเสถียรภาพ (Stability) และหลุดออกจากการบริหาร โดยวิธี :-
3.1 ใส่ร้ายป้ายสี
3.2 ค้นหาความไม่ดี หรือหลังฉากมาเปิดโปง
3.3 ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ
3.4 ซื้อคะแนนจากงูเห่าทั้งหลาย ให้แปรพรรค
4.ใช้อิทธิพลต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ร่วมมือ เพื่อให้ตนและพรรคพวกได้อยู่ต่อ โดย:-
4.1 สั่งย้ายเป็นโหลๆ โดยไม่มีเหตุผล
4.2 เอาแต่คนที่ร่วมมือทำความชั่วให้ตัวเองหรือพรรค ได้เข้ามาแทน
4.3 ทำให้คอร์รัปชั่นระบาดจากนักการเมือง ไปถึง
เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับ
5.ไม่คิดอ่านปราบคอร์รัปชั่น หรือมีแผนงานในการฟื้นฟู ปลูกฝังความรับผิดชอบ ความมีระเบียบวินัย ความรักประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนและญาติมิตร
ทั้งคนดี ทั้งคนเก่ง ที่มีอยู่มากมายในประเทศไทย รับรองว่าไม่มีใครยอมมาใช้วิชามาร เช่นนี้ เพื่อให้ตนเองมีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศให้เจริญก้าวหน้า
เมื่อไม่มีคนดี คนเก่ง ผู้ใดที่จะใช้วิชามาร อย่างที่นักการเมืองส่วนใหญ่ของไทยทำอยู่ และประชาชนเบื่อหน่าย เอือมระอา เราจึงไม่มีโอกาสได้เห็น รัฐบาล (ผู้ใช้อำนาจอธิปไตยด้านบริหารแทนปวงชนชาวไทย) ที่มาจากคนดี คนเก่ง คนกล้า เลย
เว้นแต่นานๆ ที นักการเมืองและพรรคการเมือง อาจจะเชิญเข้ามาบ้าง เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ความเป็นรัฐบาลของตน
การที่จะได้นักบริหารมืออาชีพจากภาคธุรกิจ ประชากิจและรัฐกิจ เข้ามาบริหารประเทศ จึงควรต้องกำหนดให้เป็นหน้าที่ของบุคคลดังกล่าว ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนต้องมาลงทะเบียน กับ กกต. ก่อน เพื่อให้อยู่ในรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งหัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) เป็นอันดับแรก
และเมื่อทุกสาขาอาชีพ ลงคะแนนได้ผู้ที่เหมาะสมมาสาขาละ 10 คน รวม 30 คน ทั้ง 30 ท่านที่ผ่านการคัดเลือกขั้นตอนที่ 1 ไปแล้ว จึงจะมายื่นใบสมัครกับ กกต. เพื่อสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับทีมงาน ครม. ของตน
จึงต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 เฉพาะหมวด 8 คณะรัฐมนตรี เพียงมาตราเดียวเท่านั้น คือ มาตรา 158 ดังต่อไปนี้
หมวด 8
คณะรัฐมนตรี
มาตรา 158 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกันโดยยึดถือผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ
ให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปีและจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าแปดปีมิได้
มาตรา 158/2 ให้นายกรัฐมนตรีมาจากการลงคะแนนเสียงคัดเลือกครั้งที่สอง ตามมาตรา 158/4 โดยตรงและลับของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 158/4 (หรือองค์กรเลือกตั้งหัวหน้าฝ่ายบริหาร หรือ Chief Executive Electoral Body) โดยรายชื่อของ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง จากคณะกรรมการกำหนดและตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามของการเป็นรัฐมนตรี ตามมาตรา 160 โดยมีประสบการณ์ความรู้ความสามารถที่เหมาะสม ในการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ปราศจากผลประโยชน์ที่ขัดกันในการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี ให้เป็นไปตาม ประกาศของคณะกรรมการกำหนดและตรวจสอบคุณสมบัติ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
มาตรา 158/3 ให้มีคณะกรรมการกำหนดและตรวจสอบคุณสมบัติ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีประกอบด้วย ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และประธานกรรมการการเลือกตั้ง เป็นกรรมการทำหน้าที่ตามมาตรา 158/2 ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับบัญชีรายชื่อจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง แล้วแจ้งผลการตรวจสอบให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด
ให้กรรมการตามวรรคหนึ่งเลือกกันเองให้กรรมการผู้หนึ่งเป็นประธานกรรมการ
ในกรณีที่ไม่มีกรรมการในตำแหน่งใด หรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ถ้ากรรมการที่เหลืออยู่นั้นมีจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ให้คณะกรรมการตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีประกอบด้วยกรรมการที่เหลืออยู่
มาตรา 158/4 บุคคลที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีได้ จะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการสรรหาครั้งแรก จากนักบริหารในแขนงของตนมาก่อน แขนงละ 10 คน รวม 30 คน และผ่านการคัดเลือกครั้งที่สอง จากนักบริหารทั้งสามแขนง เพื่อผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) ตามวาระในมาตรา 1 วรรคสาม และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
(1) มีความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์ที่แสดงให้เห็นถึง ศักยภาพที่จะใช้ในการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี โดยมีประวัติการทำงานบริหารงานหน่วยงานของรัฐ
หรือองค์กรเอกชนมาก่อน ทั้งในแขนงอาชีพด้านประชากิจ ด้านธุรกิจ และด้านรัฐกิจ
(2) ไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือเคยกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม
(3) เคยรับราชการหรือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าตำแหน่งที่จะกำหนด ไม่น้อยกว่าสองปี
(4) เคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการผู้จัดการหรือกรรมการในบริษัทมหาชน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และธุรกิจพาณิชย์ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม ตามประกาศของคณะกรรมการกำหนดและตรวจสอบคุณสมบัติจะกำหนด ไม่น้อยกว่าสองปี
(5) เคยดำรงตำแหน่งนักบริหารภาคประชากิจ เช่น จากสภาหอการค้า สมาคมวิชาชีพ สมาคมสหกรณ์ สมาคมเกษตรกรรม สภาการค้า สภาอุตสาหกรรม มูลนิธิที่ทำประโยชน์แก่สังคม องค์การอาสาสมัคร สมาคมทางศาสนา องค์กรที่ทำประโยชน์สาธารณะ ตามหลักเกณฑ์จะกำหนดในประกาศของคณะกรรมการกำหนดและตรวจสอบคุณสมบัติ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี มาไม่น้อยกว่าสองปี
มาตรา 158/5 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีการแถลงนโยบายและวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี อย่างน้อยสองครั้งก่อนวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยให้มีการถ่ายทอดรายการสดผ่านวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือสื่อมวลชนอื่น และเปิดโอกาสให้มีการซักถามปัญหาจากตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนที่ได้ลงทะเบียนแจ้งความจำนงไว้กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยผู้รับสมัครเลือกตั้งทุกคนต้องเข้าร่วมงานดังกล่าว มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิมิให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
มาตรา 158/6 เมื่อครบกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ครบวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี และวันเลือกตั้งนั้น ต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นแทนภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวัน แต่ไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง
ระยะเวลาของบุคคลผู้ที่ได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งเป็นไปตามมาตรา 1 วรรคสาม
อย่างไรก็ดี การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้คนดีคนเก่ง เข้ามาบริหารบ้านเมืองได้นี้ ตามปกติ ก็จะอยู่ในบังคับของหมวด 15 ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
แต่เมื่อเป็นการตัดอำนาจของ สส., สว. ออกจากการเป็นผู้ให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี และการลงนามสนองพระบรมราชโองการ โดยประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงเป็นการขัดกับผลประโยชน์ของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายนิติบัญญัติจึงไม่ควรเป็นผู้พิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามแนวทางข้างต้น
ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้วินิจฉัยได้หรือไม่ ตามมาตรา 5 ว่า
“เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด ให้การกระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้น ไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
เราก็จะได้คนเก่ง คนดี มาบริหารประเทศโดยยังมีรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ต่อไปเช่นเดิม และโดยไม่ต้องไปแตะต้อง หมวด 1, หมวด 2 และหมวด 15 ให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย เป็นหมื่นล้านตามที่พรรคการเมืองบางพรรคกำลังดำเนินการอยู่
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี