“เมืองที่เจริญก้าวหน้าไม่ใช่เมืองที่คนจนมีรถยนต์ส่วนตัวใช้ แต่เป็นเมืองที่แม้คนรวยก็ยังยินดีใช้บริการขนส่งสาธารณะ (An advanced city is not one where even the poor use cars, but rather one where even the rich use public transport)” เป็นคำกล่าวของ เอ็นริเก เพนาโลซา (Enrique Penalosa) อดีตนายกเทศมนตรีกรุงโบโกตา เมืองหลวงประเทศโคลอมเบีย ที่มักถูกหยิบยกมาพูดถึงเสมอเมื่อกล่าวถึง “เมืองที่ดี” เพราะเมืองที่มีรถส่วนตัวจำนวนมาก ส่งผลต่อปัญหาทั้งการจราจรติดขัด มลพิษจากไอเสีย ตลอดจนภาระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการซื้อและบำรุงรักษารถ
“นั่นคือเป้าหมายในอุดมคติ แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ง่ายที่จะไปถึง” อาทิ สำหรับประเทศไทย ที่ผ่านมามีเสียงบ่น-เสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมาก ไหนจะรถไฟฟ้าที่ค่าโดยสารแสนแพง พอหันกลับมามองรถเมล์ก็พบว่าปริมาณรถน้อยลง หรือบางเส้นทางผู้ให้บริการเลิกวิ่งไปก็มี ขณะเดียวกัน“ป้ายรถเมล์ถูกบดบังทัศนวิสัย” ทั้งจากป้ายโฆษณาและยานพาหนะอื่นๆ ที่จอดกีดขวาง ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้การใช้บริการรถเมล์ไม่สะดวก โดยเฉพาะสายที่มีรถให้บริการไม่กี่คัน การพลาดไปอาจหมายถึงต้องรอนานนับชั่วโมง
ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2565ที่ผ่านมา มีการหยิบยกกรณีรถส่งสินค้าจอดกีดขวางป้ายรถเมล์ขึ้นมากล่าวถึง ซึ่งสืบเนื่องจาก กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนผู้ใช้รถโดยสารสาธารณะรายหนึ่งเมื่อเดือน ต.ค. 2564 ระบุว่า “ในขณะที่รอรถโดยสารสาธารณะกลับบ้านบริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอุดมสุข เขตบางนา กรุงเทพมหานคร มีรถขนส่งสินค้าของร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง จอดขวางทางเดินรถโดยสารสาธารณะ ทำให้ประชาชนมองไม่เห็นรถโดยสารสาธารณะและต้องลงมายืนบนพื้นผิวจราจร” ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้
กสม. พิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า กรณีนี้เกี่ยวกับสิทธิในการเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ ซึ่งได้รับการรับรองและคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และเห็นว่าการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนทำได้ด้วยการประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง จึงได้ดำเนินการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังกรุงเทพมหานคร บริษัทต้นสังกัดของร้านสะดวกซื้อ และกองบังคับการตำรวจจราจร เพื่อให้ดำเนินการแก้ไขปัญหา
ซึ่งต่อมาได้รับทราบว่า กรุงเทพมหานครโดยสำนักงานเขตบางนาและกองบังคับการตำรวจจราจร ได้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ ด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและประสานงานกัน พร้อมแจ้งไปยังบริษัทโดยตรงเพื่อแก้ไขปัญหาการจอดรถขนส่งสินค้ากีดขวางป้ายหยุดรถประจำทางสาธารณะแล้ว ขณะที่บริษัทก็ได้ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนและหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกับบริษัทขนส่งสินค้า
โดยได้ปรับเปลี่ยนขนาดรถขนส่งสินค้าให้เล็กลงและปรับเวลาในการจัดส่งสินค้าเป็นช่วงเวลากลางคืน เพื่อหลีกเลี่ยงช่วงเวลาการจราจรหนาแน่นและป้องกันไม่ให้รถขนส่งสินค้าจอดกีดขวางป้ายหยุดรถประจำทางสาธารณะแล้ว ดังนั้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2565 จึงมีมติเห็นว่ากรณีดังกล่าวมีการแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ร้องตามสมควรแล้ว จึงมีมติเห็นชอบผลการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
การดำเนินธุรกิจอย่างเคารพสิทธิมนุษยชนเป็นอีกเรื่องที่ กสม. ให้ความสำคัญ โดยที่ผ่านมาได้ประสานความร่วมมือกับทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจดำเนินกิจการที่สอดคล้องตามหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UN Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGPs) กรณีปัญหาที่เกิดขึ้น แม้จะดูเป็นปัญหาเล็กๆ แต่ก็สะท้อนว่าภาคธุรกิจจะต้องไม่ละเลย ต้องตระหนักถึงความสำคัญของหลักการดังกล่าว และร่วมแก้ไขปัญหาอย่างเข้าใจ
อนึ่ง นอกจากกรณีรถส่งสินค้าที่เข้าสู่กระบวนการร้องเรียนและประสานแก้ไขโดย กสม. ข้างต้น ในความเป็นจริงยังพบยานพาหนะหลากหลายชนิด ทั้งที่เป็นขนส่งสาธารณะด้วยกัน เช่น รถแท็กซี่ รถตู้โดยสาร และที่เป็นรถยนต์ส่วนบุคคล จอดกีดขวางบริเวณป้ายรถเมล์อยู่เนืองๆ จากหลายหลายเหตุปัจจัย จึงต้องฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทั้งการบังคับใช้กฎหมาย และการหาทางออกอื่นทดแทน เพื่อให้การใช้บริการรถเมล์เป็นไปอย่างสะดวกและปลอดภัย!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี