เมื่อฉบับที่แล้ว ได้กล่าวถึงที่มาของผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย ว่ามี 5 ประเภท ได้แก่
ประเภทแรก ที่มาจากความจำเป็นของเหตุการณ์บ้านเมือง
ประเภทที่สอง ที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร
ประเภทที่สาม ที่มาจากผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy)
ประเภทที่สี่ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในกรณีของเทศบาล, อบจ., อบต. เป็นต้น
และได้ยกตัวอย่างที่ 1 พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (พ.ศ.2475-2476) กับตัวอย่างที่ 2 ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ (พ.ศ.2516-2518) มาให้เห็นคุณภาพคับแก้ว ของชาวตุลาการที่ผ่านระบบการตรวจสอบภูมิหลังการศึกษา ประสบการณ์ การสอบแข่งขัน การฝึกอบรม การศึกษาเพิ่มเติม จนกระทั่งได้มาปฏิบัติหน้าที่ตุลาการอันทรงเกียรติ และสามารถดำรงไว้ซึ่งการให้ความยุติธรรมแก่ปวงชนชาวไทยรวมไปถึงการเข้ามาใช้อำนาจบริหารแทนปวงประชาชาวไทยได้เมื่อชาติต้องการ
แล้วก็มานึกขึ้นได้ในบัดนี้ ว่ายังขาดตุลาการไปอีกหนึ่งท่าน ซึ่งเข้ามาเป็นหัวหน้าของผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย (นายกรัฐมนตรี) ได้อย่างดีเยี่ยมอีกท่านหนึ่งท่านผู้นี้คือ ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียรซึ่งขณะนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ ท่านผู้นี้ จบการศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ไปศึกษากฎหมายต่อที่มหาวิทยาลัยลอนดอน แล้วไปจบเนติบัณฑิตอังกฤษจากสำนัก Grey’s inn ประเทศอังกฤษ
ในทางประสบการณ์ เคยเป็นหัวหน้าศาลจังหวัดเชียงใหม่, ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา, ศาสตราจารย์สอนกฎหมาย ของจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำนักอบรมกฎหมายของเนติบัณฑิตยสภาของไทย
เมื่อคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินนำโดยพลเรือเอก สงัด ชลออยู่, พลเอกสุจินดา คราประยูร ฯลฯ ทำการรัฐประหารรัฐบาลของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 หลังเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐกับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และประชาชน คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้ไปเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ กลับมาแล้วก็ทูลเกล้าฯเสนอแต่งตั้งศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 14 จนมีคำกล่าวว่า รัฐบาลของศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นรัฐบาล “พระราชทาน”
ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ซื่อสัตย์สุจริตคนหนึ่งของประเทศไทย จึงมีการปราบปรามการทุจริตและคอร์รัปชั่นอย่างเด็ดขาดรวมทั้งการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และโดยที่ประเทศไทยกำลังต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ที่กำลังคุกคามอยู่รอบด้าน ทั้งซ้าย ขวา บน ล่าง จึงสนับสนุนให้มีการปราบปรามการเคลื่อนไหวของฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างเต็มที่
ต่อมาได้ถูกปฏิวัติโดยคณะทหารคณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2520 คล้ายคลึงกับกรณีของ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งถูกรัฐประหารโดยหัวหน้าคณะราษฎร หลังจากอยู่ในตำแหน่งเพียง 1 ปี ต่อมาศาสตราจารย์ ธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้รับโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ.2520 และได้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ประธานองคมนตรีในโอกาสต่อมา รวมทั้งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระพยุพราชและมูลนิธิอื่นอีกมากมาย
จะขอยกตัวอย่างเพียง 3 ท่าน ที่เป็นตุลาการที่มีภูมิหลัง (Back Ground) อย่างยอดเยี่ยม ทั้งในด้านการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน ในตำแหน่งต่างๆ ของอำนาจตุลาการ ในวงการการศึกษา ในกิจกรรมประชากิจเช่น มูลนิธิ สมาคม หรือสถาบันเพื่อสังคมต่างๆ จนเป็น คนดี ที่เข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) ตามที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทไว้ว่า “ขอให้ทราบถึงสิ่งสำคัญในการปกครองไว้ว่า ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดีไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมดการทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ “คนดี” ทั้งสามท่าน ได้มีโอกาสปกครองบ้านเมืองเพียง 1 ถึง 2 ปีเท่านั้น แล้วก็ต้องจากไป เพื่อหา “ที่มา” ของผู้บริหารบ้านเมืองใหม่ ตามระบอบประชาธิปไตย
ส่วนประเภทที่สอง และประเภทที่สามของผู้ที่เข้ามาใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย ก็ได้แก่ คณะปฏิวัติรัฐประหาร และหัวหน้าพรรคการเมืองหรือผู้ที่พรรคการเมืองมอบหมายตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา(Parliamentarian Democracy) ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน
_______________________________
สำหรับนายกรัฐมนตรี (ผู้เป็นหัวหน้าการใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย) ที่มาจากคณะปฏิวัติรัฐประหาร ที่ควรจะนำมากล่าวถึง ก็น่าจะได้แก่
1.พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
2.จอมพล ป.พิบูลสงคราม
3.จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
4.จอมพลถนอม กิตติขจร
5.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
เราก็จะได้นำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร จะเข้าข่ายการเป็นคนดี ได้หรือไม่
และท่านเหล่านั้นได้มี ภูมิหลัง (Back Ground) อันได้แก่ การศึกษาและประสบการณ์มามากน้อยเพียงใด
กับเมื่อเข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของชนชาวไทยแล้วยังคงรักษาความดี มีความเก่งรอบรู้เรื่องที่จำเป็นในการบริหารประเทศ(เช่น ความมั่นคง เศรษฐกิจ การต่างประเทศ การกระจายรายได้ ฯลฯ) มากน้อยเพียงใด กับมีความกล้า ที่จะปราบปรามผู้ทุจริตประพฤติมิชอบเพียงใด ปราบปรามข้าราชการบางนายผู้ไม่รักษาความเป็นธรรมของกระบวนการยุติธรรมทั้งต้นน้ำ (ตำรวจ) กลางน้ำ (อัยการ) หรือไม่ ยอมตัดนิ้วร้ายหรือนิ้วเน่าเสียออกจากมือหรือไม่ หรือว่ายังมีการลูบหน้า ปะจมูก เกรงใจพี่ เกรงใจน้อง กันอยู่นั่นแล้ว
_______________________________
มีท่านผู้ที่ผู้เขียนนับถือกล่าวว่า รูปแบบของการปกครองมันดีอยู่แล้ว มีรัฐธรรมนูญอยู่แล้วตั้ง 20 ฉบับล้วนแต่กลั่นกรองและเขียนกันมาอย่างดีโดยคณะราษฎร คณะรัฐประหารคณะอื่นๆ ในเวลาต่อมา และโดยนักวิชาการ, สส., สว. อีกหลายฉบับ ก็น่าจะเลือกฉบับใดฉบับหนึ่งมาใช้โดยไม่ต้องไปแตะรูปแบบอีก ปัญหาอยู่ที่ตัวบุคคลผู้เข้ามาเป็นผู้บริหาร ถ้าได้คนดีเข้ามาบริหารประเทศก็หมดปัญหา
ผู้เขียนก็เห็นว่า น่าจะถูกต้อง แต่ประชาธิปไตยรูปแบบใดเล่าที่จะทำให้ได้คนดีเข้ามาใช้อำนาจแทนเรา รูปแบบปัจจุบันทำให้เราต้องงมงายอยู่กับปัญหา บัตรใบเดียว หรือ บัตรสองใบหารด้วยร้อย หรือ หารด้วยห้าร้อย แจกกล้วยเท่าใดก่อนโหวต พ.ร.บ.งบประมาณ แจกกล้วยกี่หวีก่อนลงคะแนนหลังการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เข้าทำนองคนไข้เป็นมะเร็งลำไส้เล็ก เราก็มัวไปให้ยาแก้กรดไหลย้อนบ้าง ยาแก้ท้องอืดบ้าง ไปตรวจดูหาโรคที่ปลายลำไส้ใหญ่บ้าง อยู่นั่นแหละ
หากวิเคราะห์คนไข้ได้ตรงประเด็น โดยผ่าตัดลำไส้เล็กออกเสียก่อนที่จะลุกลามไปต่อมน้ำเหลือง โรคก็จะหายได้ แล้วไม่กลับมาเป็นอีก
จึงต้องกล่าวถึง “ที่มา” ของอำนาจต่างๆว่าเราไปเอาใครมาใช้อำนาจทั้งสาม (ตุลาการ, บริหาร, นิติบัญญัติ) แทนเรา (ปวงชนชาวไทย) อยู่
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี