“ความเครียด” เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนในทุกเพศทุกวัย ปัจจุบันนี้พบว่า คนส่วนใหญ่มักมีอาการเครียดสะสม อันเนื่องมาจากการใช้ชีวิตที่ตึงเครียด บางรายมีความกดดันมาก และมีความคาดหวังในชีวิตสูงซึ่งพอไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง ทำให้มีอาการเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัวได้เช่นกัน ในบางรายอาจจะเป็นโรคซึมเศร้า หรือโรควิตกกังวลได้ในอนาคต
ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในเวทีเสวนา (ออนไลน์)หัวข้อ “เรื่องใจเรื่องใหญ่ ชวนเสริมภูมิคุ้มใจในภาวะเศรษฐกิจถดถอย” ถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊คแฟนเพจ“ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ (สสส.)” อธิบายว่า ความเครียดนั้นมี 4 ระดับความรุนแรงจากเบาไปหาหนัก ไล่ตั้งแต่ 1.เครียดแต่เอาอยู่ ถึงแม้จะมีความเครียดแต่ยังพอรับมือได้ด้วยตัวเอง โดยต้องแก้ปัญหาเชิงบวก เช่น ออกกำลังกาย ใช้เวลากับคนที่รัก เป็นต้น
2.เครียดจัดพอประคองได้ ซึ่งอยู่ในระหว่างป่วยกับปกติโดยมีความเครียดสูง แต่ยังพอประคองตัวได้และเป็นฟางเส้นสุดท้าย จำเป็นต้องหาคนรอบข้างที่รับฟังอย่างเข้าใจ 3.ซึมเศร้ากระทบกับงานและการใช้ชีวิต ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และมีปัญหาปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จำเป็นต้องพบแพทย์และหาคนรอบข้างที่รับฟังอย่างเข้าใจ และ 4.ซึมเศร้าทำร้ายตัวเองและมีความคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งเสี่ยงที่จะทำร้ายตัวเองผู้อื่น สิ่งของ และฆ่าตัวตาย จึงไม่ควรให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวและคนรอบข้างต้องเปิดใจรับฟัง
“การที่จะรู้ว่าเรากำลังเผชิญปัญหาสุขภาพจิตอยู่หรือไม่ สามารถตรวจสอบด้วย 3 จุดสังเกต ได้แก่ 1.ความคิด เกิดความคิดในเชิงลบในชีวิตประจำวัน จากปกติที่ไม่เคยมีความคิดแง่นี้มาก่อน 2.พฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการใช้ชีวิต พฤติกรรมการทำงาน และพฤติกรรมการนอน ดูว่ามีพฤติกรรมบางอย่างที่เปลี่ยนแปลง และเกิดปัญหาอะไรขึ้นจากพฤติกรรมปกติ
เช่น นอนไม่หลับไม่ทราบสาเหตุ หรือจากที่เคยมีนิสัยคิดถี่ถ้วนก่อนใช้เงิน กลายเป็นคนฟุ่มเฟือยกะทันหันและไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมที่แปลกไปของตัวเองได้และ 4.อารมณ์และความรู้สึก อารมณ์แปรปรวนง่ายๆ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือมีความแตกต่างไปจากเดิม โดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่สามารถควบคุมความเศร้าที่มากเกินไป หรือความโกรธที่มากเกินไปของตัวเองได้”ผศ.ดร.ณัฐสุดา กล่าว
คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังกล่าวด้วยว่า ความเครียดมีอยู่ทุกคน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตาม แต่ถ้าความเครียดนั้นอยู่กับตัวเรานานๆ จะทำให้มีความเครียดสะสม โดยความเครียดที่สามารถจัดการได้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าความเครียดเริ่มมีจำนวนมากขึ้น ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และส่งผลต่ออารมณ์เป็นระยะๆ จำเป็นต้องจัดการความเครียดออกไป โดยวิธีสังเกตว่ามีความเครียดสะสมหรือไม่นั้น สังเกตจากตนเอง หากความเครียดนั้นสามารถหายไปแสดงว่ายังปกติ
แต่หากผ่านพ้นความเครียดนั้นมากแล้ว แต่ยังรู้สึกว่าเครียดอยู่ แปลว่าไม่ได้เครียดแค่ชั่วคราวแต่เป็นความเครียดสะสม ซึ่งสังเกตความเครียดจากอาการทางกายได้ด้วย เช่น หายใจเร็ว นอนไม่หลับ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสังเกตผ่านอารมณ์และพฤติกรรมได้ด้วย สังเกตโดยสิ่งที่เคยชื่นชอบกลายเป็นสิ่งไม่ชอบ สิ่งที่เคยเป็นความสุขกลายเป็นความทุกข์ และประสิทธิภาพในการทำงานลดลง โดยขั้นที่รุนแรงกว่านี้คือ “อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว” ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าภาวะจิตใจไม่ปกติ
นอกจากจะเป็นอาจารย์แล้ว ผศ.ดร.ณัฐสุดายังเป็นผู้ก่อตั้ง “Here to heal” โครงการที่เป็นความร่วมมือระหว่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อให้ผู้มีอาการด้านสุขภาพจิตสามารถปรึกษาผ่านนวัตกรรมออนไลน์ เฟซบุ๊คแฟนเพจ Here to Heal ที่รับบริการได้สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย 24 ชม.
“กลุ่มเป้าหมายแรกของ Here to Heal คือเด็กวัยรุ่นและวัยเริ่มทำงาน แต่ปัจจุบันพบว่ามีกลุ่มผู้ใหญ่อยากปรึกษามากขึ้น เนื่องจากหลายคนไม่อยากพูดแต่อยากพิมพ์ และผู้ป่วยติดเตียงที่อยู่ในโรงพยาบาลอยากปรึกษาและอยากเข้ารับบริการ ดังนั้น ช่องทางความช่วยเหลือหากมีหลากหลาย กลุ่มคนที่ขอความช่วยเหลือก็หลากหลายขึ้น และยังสร้างภูมิคุ้มกันใจด้วย Resilience พลังใจในการฟื้นคืน ซึ่งเป็นความสามารถในการฟื้นพลัง ช่วยให้ไม่พลั้งพลาดหมดแรง
โดยมีดังนี้ 1.I have ฉันมีความสัมพันธ์ที่ปลอดภัยมีคนที่คอยสนับสนุน เป็นกำลังใจให้ฉันในวันที่ยากลำบาก2.I can ฉันมีความสามารถที่จะผ่านเรื่องนี้ไปได้ มองเห็คุณค่าและความหมายตัวเรา และ 3.I am ฉันมีคุณค่า เชื่อมั่นในตัวเอง และเคารพตนเอง ต้องเพิ่มทักษะอะไร เพื่อผ่านเรื่องต่างๆ” ผศ.ดร.ณัฐสุดา ระบุ
ด้าน วิภาดา แหวนเพชร ครูสอนวิชาทักษะแห่งความสุข (Happiness skills) หนึ่งในกลุ่มวิชา General Education จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่าสิ่งรอบข้างกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความเครียดได้ แต่ “ความสุข” คืออาวุธสำคัญในการต่อสู้กับความเครียด โดยทุกคนสามารถสร้างภูมิคุ้มใจได้ด้วยการมีความสุข ทั้งการเปลี่ยน Mindset การคิดแบบเปิดกว้างมองโลกในแง่บวก และทบทวนตารางชีวิต เพื่อหาความสุขประจำวันผ่านกิจกรรมที่ชอบอย่างน้อย 10-30 นาที
เช่น ออกกำลังกายแบบง่ายๆ คิดถึงสิ่งที่มีความสุข และทำสมาธิ โดยความสุขเป็นอยู่ที่แต่ละคนจะนิยาม แต่ก็จะมีนิยามกลาง คือ “สบายกาย สบายใจ พึงพอใจในชีวิตตนเอง” หากประเมินตนเองแล้วยังชอบและพึงพอใจ แปลว่ายังมีความสุขสูงอยู่ “สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิดคือความสุขต้องไม่ทุกข์” แต่ความจริงแล้ว “นิยามความสุข ส่วนหนึ่ง คือ การเยียวยา ก้าวข้ามความทุกข์ได้ในเวลาที่สมควร” เป็นส่วนหนึ่งของความสุขและการใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย
“จากงานวิจัยเมื่อปี 2545 มีการเลือกคนที่มีความสุขเป็นพิเศษในสังคม พบว่าคนกลุ่มนี้เป็นทุกข์เหมือนคนทั่วไป และพบเจอปัญหาตกงานและอกหักเช่นกัน จึงทำให้การมองปัญหาในแง่บวก หรือแง่ลบเลย อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีเท่ากับการมองปัญหาให้ครบทุกมุมที่เกิดขึ้น แต่วิธีการมองโลกเป็นส่วนสำคัญของความสุข” วิภาดา กล่าว
ยังมีอีกผู้ร่วมเสวนา ปกฉัตร เทียมชัย นักแสดงและ Content Creator กล่าวว่า การหาตัวช่วยเพื่อลดความเครียดไม่ใช่เรื่องแปลก ซึ่งโดยส่วนตัวมีตัวช่วยเพื่อลดความเครียดดังนี้ 1.เล่าให้เพื่อนฟัง ซึ่งเพื่อนจะรู้ถึงความรู้สึกของตนเองดี เพื่อนจึงสามารถให้กำลังใจและให้คำปรึกษาได้ 2.ใช้เวลากับตัวเองหาเวลาออกไปท่องเที่ยวเพื่อบำบัดจิตใจตัวเอง และ3.การพบจิตแพทย์ โดยจิตแพทย์จะรับฟังโดยที่ไม่ตัดสินแทนตัวเราเอง
“สังคมไทยมองว่าการไปพบจิตแพทย์เป็นเรื่องรุนแรง เมื่อลองไปกลับพบว่าคุณหมอเหมือนเป็นเพื่อนของเรา ซึ่งทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นที่ไปพบแพทย์ โดยไม่ได้
มีแต่การรับฟังเท่านั้น แต่ยังมีคู่มือในการคิดใหม่ เพราะบางปัญหายังต้องพบเจอซ้ำๆ เช่น ปัญหาความรัก เป็นต้น” ปกฉัตร กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี