หมายเหตุ : บทความ “ทองคำยังเป็นสรวงสวรรค์แห่งความปลอดภัยอยู่หรือไม่” ร่วมเขียนโดยคณาจารย์จาก สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin) จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย ผศ.ดร.ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์, ผศ.ดร.ภัทเรก ศรโชติ และ รศ.ดร.พัฒนาพร ฉัตรจุฑามาส
โลกของเราในปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนจากโรคระบาดต่างๆ ทั้งไวรัสโควิด-19 และฝีดาษลิง หรือแม้แต่ความผันผวนในราคาน้ำมัน ราคาก๊าซธรรมชาติ และราคาอาหารที่เกิดจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน รวมถึงความไม่ลงรอยของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งส่งผลทำให้เงินเฟ้อในประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สร้างความลำบากอย่างมากให้กับประชาชนทุกภาคส่วน นักธุรกิจทั้งในระดับเล็ก กลาง ใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่นักลงทุนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม “ท่ามกลางความผันผวนมากมายเหล่านี้ สิ่งหนึ่งที่หลายคนมักจะฝากความหวังไว้” และมักจะใช้เป็นทางออกสำหรับการ “หนีตาย” ในช่วงที่โลกเต็มไปด้วยความผันผวนก็คือ “ทองคำ” ในบทความนี้ คณะผู้เขียนมีความตั้งใจที่จะนำข้อคิดจากงานวิจัยชั้นนำที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของทองคำในการเป็น “สรวงสวรรค์แห่งความปลอดภัย” หรือ “Safe Haven Asset” มาเล่าสู่กันฟัง
อ้างอิงงานวิจัยของศาสตราจารย์ Dirk Baur แห่งมหาวิทยาลัย Western Australia (UWA) และ ศาสตราจารย์ Brian Lucey จากวิทยาลัยทรินิตี้ของมหาวิทยาลัยดับลิน ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในงานวิจัยในด้านสินทรัพย์แห่งความปลอดภัยที่ถูกอ้างอิงมากที่สุดชิ้นหนึ่งในโลก (กว่า 1,800 ครั้งใน Google Scholar) ได้นิยามสินทรัพย์แห่งความปลอดภัย ไว้ว่า “สินทรัพย์แห่งความปลอดภัยจะต้องเป็นสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนไม่ติดลบ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สินทรัพย์หลัก (เช่น หุ้น) เข้าสู่ภาวะวิกฤต”
นอกจากนี้ “หากสินทรัพย์แห่งความปลอดภัยยังมีผลตอบแทนเป็นบวกในช่วงเวลาที่สินทรัพย์หลักเข้าสู่ภาวะวิกฤต สินทรัพย์แห่งความปลอดภัยนี้จะถูกจัดว่าเป็นสินทรัพย์แห่งความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง หรือ Strong Safe Haven Asset” ดังนั้นนิยามของศาสตราจารย์ Dirk Baur และศาสตราจารย์ Brian Lucey ข้างต้น จะไม่สนใจเลยว่าสินทรัพย์แห่งความปลอดภัยจะมีผลตอบแทนเป็นอย่างไรในช่วงเวลาปกติ
“เพราะอะไรทองคำถึงมักถูกจัดให้เป็นสินทรัพย์แห่งความปลอดภัย?” เหตุผลหลักหรืออาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ทองคำถูกจัดเป็นสินทรัพย์แห่งความปลอดภัยคือ “การที่นักลงทุนทั่วไปเชื่อว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่จัดว่ามีความเสี่ยงต่ำมากโดยเฉพาะในภาวะวิกฤต” ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ทำให้เกิด “คำถามสำคัญถึง 2 คำถาม” นั่นคือ 1.คุณลักษณะอะไรของทองคำที่ทำให้นักลงทุนทั่วไปมีความเชื่อเช่นนี้? สามารถอธิบายได้จากงานวิจัยของ ศาสตราจารย์ Dirk Baur (และ Thomas McDermott)
ซึ่งถือว่าเป็นงานวิจัยที่สำคัญที่ใช้หลักการของ“เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Economics)”มาอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าทองคำเป็นสินทรัพย์แห่งความปลอดภัยในภาวะวิกฤต โดยงานวิจัยได้ให้เหตุผลว่า “ในยามที่โลกอยู่ในภาวะวิกฤตที่มีความผันผวนสูง นักลงทุนจะเลือกใช้ข้อมูลจากประสบการณ์ในอดีตที่นึกถึงได้ง่ายและเด่นชัดที่สุด เพื่อการตัดสินใจให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด (แม้ว่าอาจไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีที่สุด)”
ซึ่งสำหรับนักลงทุนหลายคนแล้ว “ภาพของทองคำที่เป็นสีเหลืองทองส่องสว่าง จับต้องได้จริง รวมทั้งประสบการณ์ที่ดีของทองคำในอดีตที่ถูกใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) อย่างแพร่หลายทั่วโลก หรือแม้แต่การที่ประเทศต่างๆ ยังคงเก็บและใช้ทองคำเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศ” ทำให้นักลงทุนคิดเหมือนๆ กันว่า ทองคำน่าจะเป็นสินทรัพย์แห่งความปลอดภัยได้ในภาวะวิกฤต
คำถามสำคัญคำถามที่สองที่นักลงทุนทุกคนควรตั้งคำถามนี้อยู่ตลอดเวลาคือ 2.ทองคำยังเป็นสินทรัพย์แห่งความปลอดภัยอยู่หรือไม่? เพราะการที่ทองคำจะเป็นสินทรัพย์แห่งความปลอดภัยได้นั้นขึ้นอยู่กับ “ความเชื่อ”ของนักลงทุนทั่วไป ศาสตราจารย์ Dirk Baur (และ Thomas McDermott) ได้เคยกล่าวไว้ในงานวิจัยอย่างน่าสนใจว่า “ทองคำมีโอกาสที่จะเป็นสินทรัพย์แห่งความปลอดภัยเพียงชั่วคราว หรือจนกว่านักลงทุนจะหมดความเชื่อมั่นในคุณค่าของทองคำ”
ดังนั้น “ถ้าเมื่อไหร่การลงทุนในทองคำสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อนักลงทุนในช่วงภาวะวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่า โอกาสที่นักลงทุนจะหมดความเชื่อมั่นอย่างถาวรในคุณค่าของทองคำก็เป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้สูง” เพื่อตอบคำถามที่สำคัญนี้ คณะผู้เขียนได้ทำโครงการวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนรัชดาภิเษกสมโภชแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดยโครงการวิจัยนี้มีจุดประสงค์หลักที่จะตอบคำถามว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์แห่งความปลอดภัยในภาวะวิกฤตโควิด-19 อยู่หรือไม่ เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ของทองคำกับสินทรัพย์หลักอย่าง S&P500 (ดัชนีหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 บริษัทในสหรัฐอเมริกา) ทั้งนี้ “ความสัมพันธ์ของทองคำกับ S&P500 ในอดีตสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าในช่วงวิกฤตในอดีต อย่างเช่น วิกฤตฟองสบู่ดอทคอม (ช่วงปี ค.ศ. 2000-พ.ศ.2543) และวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ (ช่วงปี ค.ศ. 2007-พ.ศ.2550) ราคาทองคำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในขณะที่ราคาของ S&P500 ปรับตัวลดลงในช่วงวิกฤต”
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูความสัมพันธ์ของทองคำกับ S&P500 ในปัจจุบัน โดยช่วงเวลาที่นำเสนอจะเป็นช่วงเวลาก่อนและหลังการระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงช่วงเวลาที่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน สิ่งที่น่าสนใจ คือ “ความความสัมพันธ์ของทองคำกับ S&P500 ดูเหมือนจะเริ่มเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้เกิดความผันผวนในราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและอาหาร รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เป็นช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงซึ่งเป็นทิศทางเดียวกันกับการปรับตัวลดลงของราคา S&P500”
ดังนั้นสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า “ความสัมพันธ์ของทองคำกับราคาสินทรัพย์หลักอย่าง S&P500 อาจไม่เหมือนเดิมอย่างในอดีต (ที่เวลาหุ้นตก ทองคำมักจะปรับตัวขึ้นเสมอ)” นอกจากนี้โครงการวิจัยได้ใช้แบบจำลองทางเศรษฐมิติที่เป็นมาตรฐานในการพิสูจน์ว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์แห่งความปลอดภัยในภาวะวิกฤตโควิด-19 และวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครนอยู่หรือไม่ ซึ่งโครงการนี้พบหลักฐานทางสถิติที่สอดคล้องกับคำกล่าวข้างต้น
“อนาคตของทองคำ?” ผู้เขียนเชื่อว่าทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่สำคัญของนักลงทุนที่สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้ อย่างไรก็ดี ข้อคิดที่สำคัญที่สุดของบทความนี้ “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” (uncertainty is certainty) การที่ทองคำเคยมีคุณลักษณะเป็นสินทรัพย์แห่งความปลอดภัยที่แข็งแกร่งในอดีต อาจไม่ใช่สิ่งที่สามารถยืนยันได้ในอนาคตว่าทองคำจะมีคุณลักษณะเช่นนี้ตลอดไป ดังนั้นการตระหนักถึงความไม่แน่นอน รวมถึงการยอมรับถึง “สิ่งที่เราไม่รู้” เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการใช้ชีวิตและการลงทุนอย่างไม่ประมาท
และให้เข้าใจในประโยคที่เรามักจะได้ยินกันตลอดเวลาว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง”!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี