สำนักงานวิจัยกฎหมายอาญาและพัฒนากระบวนการยุติธรรม สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด จัดโครงการเสวนาเชิงวิชาการ ว่าด้วยการเตรียมความพร้อมด้านการสร้างองค์ความรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้ดีกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ เรื่อง “เปลี่ยนให้ผ่าน กระบวนการยุติธรรมไทย” โดยหนึ่งในนั้นคือการเสวนา หัวข้อ “เปลี่ยนผ่านกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างไร ไม่ให้ซ้ำรอยเดิม” เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมาณ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร
ศ.ดร.อุดม รัฐอมฤต อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหนึ่งในคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 กล่าวว่า ปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมเกิดขึ้นทั่วโลก ขึ้นอยู่กับว่าจะไปเกี่ยวข้องกับประเด็นใด เพียงแต่สิ่งที่รู้สึกถึงการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยขึ้นอยู่กับว่าเป็นเรื่องยากหรือง่ายในการปรับเปลี่ยนโดยเชื่อว่าสิ่งที่หนักใจกันก็คือแม้จะมีความพยายามปฏิรูปแล้วแต่ก็ยังไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม “เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงเรื่องวิธีการดำเนินการหรือเรื่องของอำนาจ ก็ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของหัวหรือส่วนบน..แต่ยังรวมถึงประชาชนทั่วไปด้วย” ซึ่งเป็นเรื่องของ “กระบวนการในการเปลี่ยนแปลงสังคม” อีกทั้งไม่อาจมองได้จากมุมกฎหมายเพียงด้านเดียว “ปัญหาของสังคมไทยคือปัญหาของญาณวิทยา” หมายถึงปัญหาว่าด้วยอะไรคือสิ่งที่เป็นความจริง อะไรคือสิ่งที่เป็นองค์ความรู้แท้ๆ
“เรายังมีปัญหา เพราะสิ่งที่เราเรียนรู้ในระบบการศึกษา ระบบการศึกษาเราไม่ได้สอนเรื่องของการคิดวิเคราะห์ ระบบการศึกษาเราสอนให้จำว่าอะไรคือสิ่งที่ดีแล้วพยายามเอาไปใช้ ซึ่งทำให้เราสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไม่ได้ อันนี้คือสภาพความเป็นจริงว่า แรงที่จะทำให้มีความคุ้มกัน หรือว่าทำให้เราสามารถพัฒนาสังคม พัฒนาตัวเราเองได้มีข้อจำกัด อันนี้เป็นพื้นฐานเบื้องต้น
เพราะฉะนั้นเวลาเราโทษว่าผู้นำไม่ยอมเปลี่ยน ผู้นำเป็นพวกอำนาจนิยม ผมว่าเราลองกลับไปคิดดูว่าผู้นำอย่างเดียวมันอยู่ไม่ได้ มันต้องมีประชาชนที่มาสนับสนุนผู้นำด้วย มันถึงจะอยู่กันได้ อันนี้คือสภาพความเป็นจริง ฉะนั้นเวลาเราเถียงกันว่าอะไรผิด-ถูก มันเป็นมุมหนึ่ง-มิติหนึ่ง เราเถียงกันในเชิงเหตุเชิงผลได้ แต่พอปัญหาในทางปฏิบัติก็ต้องมาดูอีกสภาพหนึ่ง” ศ.ดร.อุดม กล่าว
รศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สิ่งที่ยังขาดในกระบวนการยุติธรรมของไทย คือ “หลักการด้านสิทธิมนุษยชน” เพราะสิทธิมนุษยชนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านดำเนินไปได้อย่างดี เกิดความเป็นธรรมและได้มาตรฐานสากล โดยสิทธิมนุษยชนนั้นมีหลายประเด็น 1.สิทธิที่ไม่อาจถูกพักใช้ได้ (non-derogablerights) หมายถึงไม่ว่าบ้านเมืองจะอยู่ในภาวะใด รัฐก็ไม่สามารถอ้างเหตุดังกล่าวเพื่อละเมิดสิทธิบางประเภทได้
เช่น สิทธิที่จะไม่ถูกฆ่านอกกฎหมาย สิทธิจะไม่ถูกทรมานหรือปฏิบัติหรือลงโทษอย่างโหดร้ายที่ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับให้สูญหาย (อุ้มหาย) ซึ่งต้องบอกว่าปัจจุบันประเทศไทยกำลังมีสัญญาณที่ดีขึ้น จากในอดีตที่มีข้อถกเถียง อาทิ การอุ้มหายหรือการฆ่าอาชญากรโดยวิธีนอกกฎหมาย หรือการทรมานอาชญากรเพื่อรีดเอาข้อมูลสามารถทำได้หรือไม่ มาล่าสุดเมื่อไม่นานนี้ที่รัฐสภาไทยเพิ่งผ่านร่างกฎหมายป้องกันการทรมานและบังคับบุคคลให้สูญหาย ซึ่งนำหลักสิทธิที่ไม่อาจถูกพักใช้ได้นี้ไปใส่ไว้ด้วย
2.ความเป็นอิสระของตุลาการ เพราะฝ่ายบริหารมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงจำเป็นต้องจำกัดหรือละเมิดสิทธิเสรีภาพบ้างตามกรอบของกฎหมาย จึงคาดหวังให้ฝ่ายตุลาการทำหน้าที่พิทักษ์เสรีภาพของประชาชน แต่จะทำหน้าที่เช่นนั้นได้ตุลาการต้องเป็นอิสระไม่ถูกแทรกแซงไม่ว่าทางหนึ่งทางใดทั้งนี้ ในยุโรปมีการกล่าวถึงการแทรกแซงทั้งจากแนวราบ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหาร และแนวตั้ง เช่น หัวหน้าหรือผู้บริหารศาล
3.สิทธิที่จะพบกับศาลภายหลังถูกควบคุมตัว กฎหมายไทยกำหนดให้ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ไม่เกิน 48 ชั่วโมง (หากเป็นเด็กหรือเยาวชนคือไม่เกิน 24 ชั่วโมง) จากนั้นต้องไปขออำนาจศาลเพื่อฝากขัง เรื่องนี้มีที่มาจากหลักสิทธิมนุษยชน ที่กำหนดให้ผู้ถูกจับกุมต้องถูกนำไปปรากฏตัวต่อศาลโดยไม่ชักช้า อย่างไรก็ตามหลักสิทธิมนุษยชนข้อนี้ ยังมีเจตนารมณ์ให้ศาลเป็นผู้ตรวจสอบด้วยว่าระหว่างการควบคุมตัวนั้นมีการปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้อง (เช่น ทรมานผู้ต้องหา ควบคุมตัวไว้เกินเวลาที่กำหนด) หรือไม่
“สิทธิมนุษยชนควรจะเข้ามาอยู่ในตัวกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ควรจะเข้ามาอยู่ในทางปฏิบัติ และแนวปฏิบัติของกระบวนการยุติธรรม คราวนี้ทำอย่างไรที่จะให้สิทธิมนุษยชนเข้ามามันก็มีอยู่ 2 แบบ 1.เราเรียกร้องคณะนิติศาสตร์ เรียกร้องการศึกษากฎหมายสอนกันเข้าไป เพิ่มบทบาทเรื่องพวกนี้เข้าไปเพื่อให้ได้นักกฎหมายที่คำนึงถึงเรื่องพวกนี้ 2.ไปปฏิรูประบบ ไปแก้กฎหมายเพื่อให้พวกนี้มันเข้าไปอยู่ในกฎหมาย นิติศาสตร์จะได้สอน ผมว่ามันเหมือนไก่กับไข่ ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี แต่ความเห็นผมคือทั้งคู่” รศ.ดร.ปกป้อง กล่าว
ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา (สำนักข่าวอิศรา) ให้ความเห็นว่า สังคมเสียโอกาสมาแล้วหลายครั้งเช่น คดีเพชรซาอุที่เชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมนักการทูต ผู้เกี่ยวข้องเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งถูกดำเนินคดีจนพ้นโทษออกมาแล้ว แต่ระบบตำรวจก็ยังไม่ถูกปฏิรูปในเชิงโครงสร้าง, คดีเชอรี่แอนที่มีการจับผู้ต้องหาผิดคน กว่าจะทราบความจริงบางคนก็เสียชีวิตในคุกไปแล้ว ปัญหาอยู่ที่ศาลไม่สามารถไต่สวนข้อเท็จจริงได้เองเพราะไทยใช้ระบบกล่าวหา, คดีบอสเครื่องดื่มชูกำลัง ที่ถูกตั้งคำถามในการทำหน้าที่ขึ้นมาจนถึงระดับอัยการ เป็นต้น
“ถามว่า 1 ปีเศษๆ ที่ผ่านมา ตั้งแต่อาจารย์วิชา มหาคุณสอบข้อเท็จจริงมา พลิกข้อเท็จจริงทั้งระบบเลยว่าบกพร่องตรงไหนถามว่าได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว? ได้แตะต้องระบบตรงไหนบ้าง? ยกเว้นบอกว่าถ้าร้องขอความเป็นธรรมต้องมีตัวผู้ร้องความเป็นธรรมเท่านั้นที่แก้ แต่ก่อนไม่มีตัวผู้ร้องขอความเป็นธรรม อยู่ต่างประเทศก็ร้องได้ถึง 14 ครั้ง เราไม่ได้แก้อะไรเลย” ประสงค์ กล่าว
พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาไว้หลายประการ หนึ่งในนั้นคือ “เมื่อผู้เสียหายจะใช้สิทธิฟ้องคดีโดยตรงด้วยตนเองในกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง..ต้องขอสำนวนที่ตำรวจและอัยการรวบรวมไว้มาใช้ได้” เพราะผู้เสียหายไม่สามารถมีข้อมูลมากพอเมื่อเทียบกับสำนวนการสอบสวนที่ตำรวจส่งต่อไปยังอัยการ หริอสำนวนที่อัยการสั่งให้ตำรวจไปสอบสวนเพิ่มเติม
“ถ้าจะแก้ตรงนี้ต้องให้ผู้เสียหาย ถ้าอัยการสั่งไม่ฟ้อง ผู้เสียหายต้องสามารถขอสำนวนการสอบสวนจากอัยการ เพื่อประกอบในการที่เขาจะฟ้องเองได้” อดีต รมว.ยุติธรรม กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี