ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับงานอัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 13 และ Crafts Bangkok 2022 ซึ่งทางสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย(องค์การมหาชน) หรือ sacit ได้เดินหน้าผลักดันอย่างเต็มที่ ส่งผลให้หัตถกรรมไทยขึ้นแท่นสินค้าเนื้อหอม กวาดรายได้ทะลุเป้า
นายพรพล เอกอรรถพร รักษาการผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ sacit เปิดเผยว่าการจัดงานในปีนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้เข้าชมงานและเลือกซื้อสินค้าทั้งคนไทยและต่างชาติ สะท้อนให้เห็นว่า เทรนด์ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมและคราฟต์ไทยในขณะนี้ได้รับการตอบรับอย่างแพร่หลาย และทำให้การจัดงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศหลังผ่านผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
ตลอด 4 วันของการจัดงาน ตั้งแต่วันที่ 8-11 กันยายน 2565มีผู้เข้าชมงานรวม 32,430 คน และมียอดการจำหน่ายสินค้าหัตถกรรมไทยและงานคราฟต์สูงเกือบ 157 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเป็นผลบวกจากความนิยมสินค้าหัตถกรรมและงานคราฟต์เพิ่มขึ้น ประกอบกับการจัดงานในปีนี้โดดเด่นในคอนเซ็ปต์street art ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย และการประชาสัมพันธ์งานปีนี้ sacit สร้างการรับรู้ทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ผู้สนใจสินค้าหัตถกรรมและงานคราฟต์เลือกซื้อสินค้าได้ทั้งรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์
ขณะที่ภายในงานมีผลิตภัณฑ์ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อ อาทิ เครื่องเงิน, เครื่องทอง, ผ้าไหม, ผ้าฝ้าย, งานจักสานและเครื่องไม้โดยเฉพาะสินค้างานคราฟต์จาก Crafts Bangkok 2022 ได้รับความสนใจอย่างมากในกลุ่มลูกค้าชาวต่างประเทศ ซึ่งพบว่าสินค้า 5 อันดับแรกที่ต่างชาติให้ความสนใจเลือกซื้อ ได้แก่ ผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีธรรมชาติ จักสาน เครื่องประดับ เซรามิก และของตกแต่งบ้าน ตามลำดับ
ขณะที่ 5 อันดับร้านค้ายอดขายสูงสุด ในปีนี้แบ่งเป็นงานอัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 13 ได้แก่ ร้านอุษาคเนย์ประเภทสินค้าเครื่องเงินและเครื่องทอง, บ้านทองสมสมัยประเภทสินค้าเครื่องเงินและเครื่องทอง, ร้านคำปุนอุบลราชธานีประเภทสินค้าผ้าไหมผ้าฝ้าย,ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และกลุ่มอาชีพสตรีจักสานป่านศรนารายณ์ประเภทสินค้างานจักสาน
ส่วนงาน Crafts Bangkok 2022 มี 5 อันดับร้านค้ายอดขายสูงสุด ได้แก่ ร้านบุตรระย้า ประเภทสินค้าเครื่องเงินและเครื่องทอง, ร้าน Dhanu ประเภทสินค้าเครื่องเงินและเครื่องทอง, ร้านจันทร์หอมประเภทสินค้าผ้าไหมผ้าฝ้าย, ร้านรังแตน ประเภทสินค้าผ้าไหมผ้าฝ้ายและร้านเชียงใหม่ ประเภทสินค้าเครื่องไม้
สำหรับทั้ง 2 งานดังกล่าวเป็นงานที่ sacit จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เป็นงานหัตถศิลป์ไทยและงานคราฟต์ร่วมสมัยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เพราะรวบรวมฝีมือการสร้างสรรค์ผลงานหัตถศิลปกรรมไทยตั้งแต่ชั้นครูศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม ทายาทช่างศิลปหัตถกรรม รวมถึงผู้ประกอบการงานคราฟต์รุ่นใหม่ไว้ในงานเดียวกัน
โดยปีนี้ sacit นำผู้ประกอบการร่วมจัดแสดงและจำหน่ายสินค้ากว่าหมื่นรายการ จาก 650 ร้านค้าทั่วประเทศและตั้งเป้าว่าในปีต่อไปจะผลักดันการจัดงานและส่งเสริมผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการจัดงานในปีนี้ยังเห็นการตอบรับจากผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าในงานเป็นครั้งแรก แสดงให้เห็นว่า ตลาดงานหัตถกรรมและคราฟต์ไทยยังได้รับความสนใจจากคนไทยในการต่อยอดองค์ความรู้สร้างเอกลักษณ์แก่ผลิตภัณฑ์และต่อยอดเป็นรายได้อย่างยั่งยืนโดย sacit มีแผนที่จะผลักดันสมาชิกให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมแข่งขันในเวทีสากล
สำหรับแผนสนับสนุนศักยภาพช่องทางการตลาดให้กับสมาชิกเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ sacit จะมุ่งเน้นสร้างโอกาสทั้งช่องทางออฟไลน์จากการจัดงานแฟร์และออนไลน์เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะตลาดต่างชาติที่ปัจจุบันสนใจผลงานที่มีเอกลักษณ์ นวัตกรรม และความละเอียดในชิ้นงานแบบไทยมากขึ้น เช่น สินค้าประเภทงานไม้งานจักสานและงานผ้าไหมได้รับความสนใจอย่างมากในกลุ่มลูกค้าจีน ญี่ปุ่น อินเดีย และยุโรป
“แผนในปีหน้าเราจะผลักดันผู้ประกอบการออกงานแฟร์ต่างประเทศ และจับคู่ธุรกิจ หรือ Business Matching เพื่อสร้างตลาดการค้าแบบไร้พรมแดนโดยตลาดสำคัญขณะนี้ เช่น ตลาดตะวันออกกลาง และยุโรป เริ่มนิยมในสินค้าจากไทย ซึ่งคาดหวังว่าจะสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการเติบโตได้เป็นเท่าตัว” นายพรพล
กล่าว
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ sacit เน้นย้ำคือการอนุรักษ์ สืบสานงานศิลปหัตถกรรมไทยให้คงอยู่คู่คนไทยโดยดำเนินการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมที่มีเอกลักษณ์ เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย ด้วยการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และภูมิปัญญาท้องถิ่น มาประยุกต์ใช้ สู่การผลิตที่ได้มาตรฐาน เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย กระจายรายได้สู่กลุ่มชาวบ้าน ชุมชนผู้ผลิตงานหัตถกรรม ให้เกิดรายได้สม่ำเสมอ และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง
สำหรับการจัดงานในปีนี้ มีหลากหลายผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ ซึ่งนำมายกตัวอย่างได้ดังนี้
วิทวัส ปิยะชัยวุฒิ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Another Cup งานปั้นแก้วจากเนื้อดินพอร์ซเลน เผยว่า หลังคลุกคลีในวงการเซรามิกมา 7-8 ปี ก็เริ่มมาทำร้าน Another Cup เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพราะอยากสื่อสารงานศิลปะให้คนเข้าถึงได้ง่ายและราคาไม่สูงมาก จึงนำเทคนิคการปั้นมาพัฒนาเป็นงานถ้วย ซึ่งสามารถนำมาเป็นของใช้ หรือของตกแต่งก็ได้ โดยสินค้าเซตแรก มีชื่อว่า Someone ได้แรงบันดาลใจมาจากช่วงโควิด-19 ที่เราแทบไม่ได้พบปะผู้คน ไม่ได้เจอไม่ได้สัมผัส จึงอยากสร้างงานที่เป็นตัวแทนของใครสักคน โดยปั้นถ้วยที่มีโทนสี 16 สีตามเฉดสีผิวของมนุษย์
ภาคภูมิ นรังศิยา ผู้ก่อตั้งแบรนด์ W.K. Studio แบรนด์ของตกแต่งบ้านที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการมู โดยเอาความชอบในคาแร็กเตอร์ท่าทางของเทพที่ขึงขังมาปั้นแต่งให้ดูน่ารัก ผ่อนคลาย เข้าถึงได้ง่าย โดยช้างมีต้นแบบมาจากพระพิฆเนศ แมวจากแมวกวัก และเสือจากศาลเจ้าพ่อเสือ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งลูกค้าสายมูที่ซื้อแล้วนำไปปลุกเสกเอง และสายนักสะสมที่ซื้อไปตกแต่งบ้าน แต่ละคอลเลคชั่นจะมีจำนวนจำกัด 30-50 ชิ้นต่อแบบเท่านั้น และจะมีตัวเลขกำกับ ทำให้ผู้ที่ซื้อไปรู้สึกพิเศษที่ได้ครอบครอง
สุพัจนา ลิ่มวงศ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ La Orr ผู้ซึ่งเรียนออกแบบเครื่องประดับ แต่ไม่อยากทำเครื่องประดับเหมือนคนอื่นๆ จึงสร้างสรรค์หาความแตกต่างของตัวเอง ด้วยการนำผ้าไหมปักธงชัยมาออกแบบประยุกต์เป็นเครื่องประดับร่วมสมัยที่มีสีสันสวยงามสะดุดตา อาทิ แหวน ต่างหู เข็มกลัด สร้อยคอ และกำไลข้อมือ
มัลลิกา สงเคราะห์ และ จิตราพร อุดมก้านตรงผู้ก่อตั้ง แบรนด์ Mullika Handmade จำหน่ายตุ๊กตาผ้ายีนส์ยัดไส้ด้วยใยสังเคราะห์ เล่าว่า เริ่มจากความชอบตุ๊กตา เคยเปิดร้านกิฟต์ช็อปซื้อมาขายไป บ่อยเข้าก็เริ่มเบื่อ ที่ตุ๊กตาซ้ำแบบเดิม ก็เลยลองทำเองแล้วเอาไปแจกให้คนอื่น จากนั้นเริ่มมีคนขอซื้อ จึงทำเป็นธุรกิจ โดยมีแนวคิดคือ ต้องมีสตอรี่สร้างความแตกต่าง ให้แต่ละตัวมีชื่อ เราเริ่มจากช้าง เพราะสุพรรณบุรีเป็นแดนยุทธหัตถี ต่อมาเป็นควาย เพราะเป็นพื้นที่เกษตรกรรม แล้วมาเป็นหมา แมว ที่เป็นกลุ่มสัตว์เลี้ยงแสนรัก จากนั้นก็แตกไลน์ตามที่ลูกค้าร้องขอเข้ามาด้วย วัสดุที่เป็นผ้ายีนส์เนื่องจากต้องการความแตกต่าง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแปลงวัตถุที่เหมือนทิ้งแล้วให้มันมีมูลค่า สินค้ามีความคงทน ยิ่งทำความสะอาดยิ่งดูน่าใช้ การตอบรับดีมาก ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะตุ๊กตาน้องควายที่มาแรงในขณะนี้
พิมพ์แก้ว กิติรัตน์ธนโชติ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Pimya แห่งบ้านผักตบชวา ที่อยู่ใน ต.ไม้ตรา อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตุ๊กตาจากผักตบชวา เล่าว่าด้วยความที่จบเพาะช่าง รู้จักงานศิลปะ บวกกับโดยมีแนวคิดนำวัชพืชอย่างผักตบชวามาสร้างมูลค่า ผลิตภัณฑ์เริ่มจากตุ๊กตาชาวเขา ตุ๊กตานักรบ ตุ๊กตา 12 นักษัตร ชาวนา นักมวย ตอนนี้ก็มีร่วม 100 รายการ ใน 1 ปี จะออก3 คอลเลคชั่น และยังมีที่ลูกค้าสั่งเข้ามา ซึ่งทำได้หมด เราเอาศิลปะ ภูมิปัญญา เรื่องเล่าใส่เข้าไปในงาน เพื่อสร้างสตอรี่ สร้างจุดขาย อย่างมวยไทย นายขนมต้ม เราก็ยกเรื่องของท่านมา เอาท่าทางแม่ไม้มวยไทยมาใช้ งานก็มีหลายขนาดตั้งแต่ตัวเล็ก เป็นพวงกุญแจ เป็นดินสอ ราคาเริ่มต้นที่ 60 บาท ไปจนถึงตัวใหญ่ราคาเป็นหมื่น ส่วนลูกค้ามีทั้งคนไทยและต่างประเทศ ทั้งเอกชนและภาครัฐ บางรายเหมาสินค้าไปเป็นลอตใหญ่เลยก็มี
รุ่งรักษ์ เสรีโรจน์ วิทยากรร้านของเล่นพื้นบ้านจากธรรมชาติ และของเล่นพื้นบ้านจากงานวัด อธิบายว่า ของเล่นพื้นบ้านจากธรรมชาติ มีที่มาจาก ไม้ ใบไม้ ก้อนหิน ส่วนของเล่นจากงานวัดจะเน้นในเรื่องของกระดาษเพราะมีสีสันที่สวยงาม เช่น ว่าว ป๋องแป๋ง จักจั่น พัดดอกไม้ ไม้มายากล กังหันไม้ไผ่ ฯลฯ สำหรับแนวคิดของร้านคือ อนุรักษ์สินค้าที่เป็นของเล่นเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ซึ่งเด็กยุคก่อนอาศัยสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมาเป็นของเล่นได้ทั้งหมด ไม่ต้องเสียเงินซื้อ เช่น ไม้ ก้อนหิน ผัก ผลไม้แล้วส่งต่อแนวคิดนี้ไปยังเด็กยุคปัจจุบัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่จะนำของใกล้ตัวมาเป็นของเล่น และพัฒนาไปเป็นรูปแบบเฉพาะตามจินตนาการของตนเองได้เช่นกัน ทำให้เกิดความอบอุ่น เกิดสายใยในครอบครัว ทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ศิลปะ วัฒนธรรมการเล่นในอดีต เพราะสิ่งเหล่านี้แสดงถึงรากเหง้า ความเป็นอยู่ตั้งแต่อดีต ให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ปฏิบัติจริง เป็นการเรียนรู้โดยไม่ต้องมีตัวหนังสือ
สำหรับภาพรวมของการจัดงานอัตลักษณ์แห่งสยามครั้งที่ 13 และ Crafts Bangkok 2022 นั้น ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของจำนวนผู้เข้าชมงาน และรายได้จากการจำหน่ายสินค้า ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความนิยมในสินค้าหัตถกรรมและงานคราฟต์ไทย ที่สามารถต่อยอดไปได้อีกไกล และจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้อีกทางหนึ่งด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี