ผ่านพ้นไปแล้วกับงานสัมมนา “บทเรียนและข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการเข้าถึงความคุ้มครองของแรงงานหญิงข้ามชาติที่ประสบความรุนแรง” ซึ่งมีหลายองค์กรร่วมจัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2565 ที่ผ่านมา โดย น.ส.สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า การช่วยเหลือและคุ้มครองของแรงงานหญิงข้ามชาติที่ประสบความรุนแรง ความท้าทายคือจะทำให้เป็นระบบได้อย่างไร เพราะไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาเป็นรายกรณีไปเรื่อยๆ ได้
ซึ่งวิธีคิดหรือทัศนคติ (Mindset) ไม่ใช่เฉพาะกับคนในสังคมไทยแต่เป็นกันทั่วโลก ในการมองคนที่อพยพเคลื่อนย้ายจากบ้านเกิดเมืองนอนไปทำงานต่างถิ่น (Migrate) โดยไทยมีแรงงานที่ขึ้นทะเบียนประมาณ 2 ล้านคน แต่หากรวมกลุ่มที่ไม่ขึ้นทะเบียนด้วยก็น่าจะมากกว่านั้นและที่ผ่านมาก็มีข้อถกเถียงกันมาตลอด ว่าการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติจะมองในมุมใดระหว่างมิติด้านความมั่นคงกับมิติด้านสิทธิมนุษยชน
ขณะเดียวกัน การเรียกแรงงานกลุ่มนี้ว่า “แรงงานต่างด้าว” ซึ่งพ้องกับคำภาษาอังกฤษในกฎหมายคือ “เอเลียน (Alien)” สังคมไทยจึงมีทัศนคติว่าในเมื่อเป็นคนต่างด้าว ซึ่งมีนัยหมายถึงความเป็นอื่น หมายถึงไม่ใช่คนไทย แล้วจะมาเรียกร้องอะไรๆ ให้เหมือนคนไทยได้อย่างไร หรือมองว่าแรงงานข้ามชาติเป็นพาหะนำโรคติดต่อ หรือมองว่ามาก่ออาชญากรรม เป็นต้น ดังนั้นอยู่ที่การปรับทัศนคติผู้เกี่ยวข้องในระบบ เพื่อให้ระบบนั้นพร้อมให้บริการอย่างเป็นมิตร
น.ส.สุภัทรา กล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้เคยมีตัวอย่างของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) คาดว่าน่าจะเริ่มมาตั้งแต่ปี 2548 ที่ออกแนวปฏิบัติว่าด้วยการรับเด็กที่ไม่มีเอกสารยืนยันสถานะบุคคลเข้าเรียน โดยจะมีแบบฟอร์มให้ครูกรอกข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก เป็นการสร้างฐานข้อมูลของเด็กขึ้นมา อีกทั้งเมื่อเรียนจบแล้วยังได้วุฒิการศึกษาด้วย ระเบียบ ศธ. นี้สะท้อนว่า การไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนไม่ใช่ข้อจำกัดในการดำเนินการ
“พอกระทรวงศึกษาธิการทำแบบนี้ รัฐบาลก็ให้ค่าหัวค่าเรียนกับเด็กเหล่านี้เท่ากับเด็กที่เป็นคนไทย นี่เป็นตัวอย่างที่คิดว่าถ้าเราจะทำมันทำได้ ประเด็นมันอยู่ที่ Mindset เท่านั้น และคงไม่ใช่ Mindset เฉพาะเจ้าหน้าที่ แต่มันเป็น Mindset ทั้งสังคม ที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ เราอาจจะต้องทำให้สังคมไม่มองแรงงานข้ามชาติเป็นอื่น ไม่ใช่ต่างดาว ไม่ใช่เอเลียน แต่เป็นคนที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่าง เราก็เป็นประเทศที่ขาดแคลนแรงงาน แล้วก็มีงานหลายอย่างที่คนไทยก็ไม่ทำ” น.ส.สุภัทรา กล่าว
น.ส.กรวิไล เทพพันธ์กุลงาม นักวิเคราะห์ โครงการยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง โครงการปลอดภัยและยุติธรรม (Safe and Fair) องค์กรเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ และเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (UN WOMEN) กล่าวว่า การเปลี่ยนวิธีคิดหรือทัศนคติต้องเปลี่ยนทั้งระบบนิเวศ (Ecosystem) เริ่มจากตัวเราไปสู่ชุมชนและสังคมโดยรวมตลอดจนบทบาทของสื่อมวลชนและบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม (Influencer)
ซึ่งที่ผ่านมา อาจมีสำนักข่าวที่นำเสนอข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงต่อแรงงานหญิงข้ามชาติหลากหลายรูปแบบ บางสื่ออาจเข้าใจมิติความเปราะบางของแรงงานหญิงข้ามชาติ และนำเสนอชุดข้อมูลใหม่ ซึ่งด้านหนึ่งการเปลี่ยนทัศนคติของสื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับมิติความเปราะบางของแรงงานหญิงข้ามชาตินั้นสำคัญอย่างยิ่ง แต่อีกด้านหนึ่งคนอื่นๆ ในระบบนิเวศก็จำเป็นต้องได้รับการสร้างความเข้าใจประเด็นนี้เช่นกัน
ดังที่โครงการฯ ได้สร้างความเข้าใจกับบุคคลที่ให้บริการในสหวิชาชีพ อาทิ เจ้าหน้าที่ตำรวจ บุคลากรด้านสุขภาพ ตลอดจนเครือข่ายต่างๆ ซึ่งคนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นผู้ที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับสื่อด้วย การเปลี่ยนวิธีคิดจึงไม่ได้มุ่งเน้นไปที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องพยายามเปลี่ยนกันทั้งระบบนิเวศ ทั้งนี้ เคยมีงานศึกษาเรื่อง Public attitudes towards migrant workers (ทัศนคติสาธารณะว่าด้วยแรงงานข้ามชาติ) ที่โครงการฯ ทำร่วมกับ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) มีข้อค้นพบที่น่าสนใจ
“มีนายจ้างหรือคนไทยบางกลุ่มที่อาจจะบอกว่า แรงงานไม่ควรเข้าถึง Welfare (สวัสดิการ) บางอย่าง แต่ที่น่าสนใจคือส่วนใหญ่สนับสนุนที่แรงงานหญิงข้ามชาติที่ประสบความรุนแรงจะได้รับความช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นเราต้องทำลายมายาคติ การให้ความช่วยเหลือแรงงานหญิงข้ามชาติไม่ใช่เขามาแย่ง Welfare แต่เราสนับสนุนให้สังคมมีความยุติธรรม Value (มูลค่า) ของแรงงานหญิงข้ามชาติไม่ได้แปลงออกมาเป็นตัวเงินอย่างเดียว Value ของแรงงานหญิงข้ามชาติ แปลงออกมาคือสังคมไทยมีความยุติธรรม ถ้าสังคมไทยมีความยุติธรรมและไม่ยอมทนกับความรุนแรง สังคมไทยจะเป็นสังคมที่ปราศจากความรุนแรง” น.ส.กรวิไล ระบุ
นางสันทนี ดิษยบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า เราอยากให้ทุกคนมีทัศนคติว่าทุกคนเท่าเทียม แต่ทรัพยากร (Resource) มีอยู่จำกัด ดังนั้นในความเป็นจริงจะจัดสรรทรัพยากรอย่างไร ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัว มองว่าสิ่งที่ควรจะมีตามหลักสิทธิมนุษยชนก็ควรจะต้องให้ ส่วนจะมากกว่านั้นหรือไม่อย่างไรก็ค่อยไปจัดสรร แต่อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่ขาดไม่ได้คือเรื่องของความยุติธรรมและสุขภาพเพราะเป็นเรื่องถึงแก่ชีวิต จึงต้องมีวิธีคิดแบบเท่าเทียม
“ความเท่าเทียมมันไม่ใช่ทางนิตินัยเท่านั้น แต่มันต้องเป็นเรื่องของพฤตินัยด้วย คือสิ่งที่คุณทำ ส่วนตัวถ้าเป็นอัยการก็ต้องยกตัวอย่างในกฎหมาย ทุกคนพูดถึงล่าม กฎหมายบอกว่าให้คุณต้องแจ้งสิทธิผู้เสียหาย อันนี้เข้าถึงเท่าเทียมตามนิตินัย แต่พฤตินัยเป็นอย่างไร คุณแจ้งสิทธิด้วยภาษาไทยให้กับคนพม่า เขาไม่เข้าใจ พฤตินัยมันไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาดำเนินการอะไรทุกอย่างมันก็คงจะต้องเป็นทั้ง 2 อย่างเท่าเทียมกัน”นางสันทนี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี