วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
‘ป่วยจิต’ห้ามรับเข้าทำงาน(1)  2 มุม‘บวก-ลบ’ทำอย่างไรเหมาะ?

‘ป่วยจิต’ห้ามรับเข้าทำงาน(1) 2 มุม‘บวก-ลบ’ทำอย่างไรเหมาะ?

วันพฤหัสบดี ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565, 07.00 น.
Tag : ป่วยจิต ผู้ป่วยโรคจิต สุขภาพจิต ห้ามรับเข้าทำงาน
  •  

“ปัจจุบันเรื่องสุขภาพจิต กลายเป็นประเด็นที่สังคมมีความตระหนักถึงมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่สถานการณ์หลายอย่างล้วนเป็นสิ่งเร้าที่อาจทำให้เกิดการสะสมความเครียดในจิตใจ” ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาครอบครัว การงาน การเจ็บป่วยหรือโรคภัยต่างๆ เศรษฐกิจ การเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งหากใครจัดการความเครียดต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้ อาจมีแนวโน้มภาวะทางอารมณ์ผิดปกติ หรือต้องเผชิญกับปัญหาด้านสุขภาพจิตค่อนข้างสูง จนบางคนอาจถึงขั้นกลายเป็น “ผู้ป่วยโรคจิตหรือโรคอารมณ์ผิดปกติ” ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยพบว่า “ปีงบประมาณ 2564 มีการให้บริการผู้ป่วยจิตเวช จำนวน 327,527 คน เพิ่มขึ้นจากปีงบ 2563 ที่มีจำนวน 265,202 คน” รวมถึงข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข รายงานจำนวนผู้ป่วยโรคทางจิตที่มักเกิดปัญหากับการทำงาน ที่มารับบริการด้านจิตเวช ประจำปีงบประมาณ 2564 อาทิ โรคจิตเภท 284,273 คน โรคอารมณ์สองขั้ว 34,675 คน โรคซึมเศร้า 353,267 คน และโรคจิตอื่นๆ 102,703 คน นอกจากนี้ จากรายงานขององค์การอนามัยโลก ยังพบอีกว่า ประชากร 1 ใน 8 คน หรือ 970 ล้านคนทั่วโลก กำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยด้านสุขภาพจิต


อาทิ โรคซึมเศร้า วิตกกังวล โดยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่วนรายงานของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ปีงบประมาณ 2564 พบว่า มีการขึ้นทะเบียนคนพิการประเภท 4 ด้านจิตใจหรือพฤติกรรม จำนวน 164,230 คน คิดเป็นร้อยละ 7.84 ของคนพิการที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด และส่วนใหญ่อายุ 15-59 ปีซึ่งยังอยู่ในวัยทำงาน ทั้งนี้ ข้อมูลตัวเลขดังกล่าวยิ่งตอกย้ำว่า ปัญหาสุขภาพจิตเป็นปัญหาสำคัญทั้งในระดับประเทศและโลกที่สังคมมิอาจเพิกเฉย

ทั้งนี้ “จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2565 เห็นชอบร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยโรค พ.ศ. … ตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) เสนอปรับปรุงกฎ ก.พ. ว่าด้วยโรค พ.ศ. 2553 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจโรคจิตหรือโรคอารมณ์ผิดปกติ” โดยคณะกรรมการการแพทย์ของ ก.พ. ก่อนประกาศราชกิจจานุเบกษา

สำหรับสาระสำคัญของร่างกฎ ก.พ. ดังกล่าวมีการ “ยกเลิกโรควัณโรคในระยะแพร่กระจายเชื้อ” ซึ่งเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ ออกจากลักษณะต้องห้าม ของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน ขณะที่มีการ “เสนอให้โรคจิต(Psychosis) หรือโรคอารมณ์ผิดปกติ (Mood Disorders) ที่มีอาการเด่นชัดรุนแรงหรือเรื้อรัง และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ เป็นลักษณะต้องห้าม” ซึ่งลักษณะต้องห้ามดังกล่าว อาจมีความไม่สอดคล้องกับประเด็นในด้านสิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพของกลุ่มคนพิการทางจิตสังคม และกลุ่มผู้ป่วยจิตเวช

และนโยบายการส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการในหน่วยงานของรัฐ ตลอดจนหลักการไม่เลือกปฏิบัติตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีให้การรับรอง ซึ่งการระบุให้โรคจิตหรือโรคอารมณ์ผิดปกติเป็นลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน อาจส่งผลให้กลุ่มคนพิการทางจิตสังคม และกลุ่มผู้ป่วยจิตเวช ปฏิเสธการเข้าสู่กระบวนการรักษา

ทำให้สภาวะความเจ็บป่วยมีความรุนแรงมากขึ้น ตลอดจนเป็นการซ้ำเติมและตีตราต่อคนพิการทางจิตสังคมว่าไม่สามารถทำงานได้ ทั้งๆ ที่กลุ่มคนพิการทางจิตสังคม และกลุ่มผู้ป่วยจิตเวช สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและหายขาดจากโรคได้ หากได้รับการรักษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ประเด็นนี้จึงเป็นที่มาของเวทีเสวนา “ปิดช่องว่าง สร้างโอกาส เพิ่มความเป็นธรรม กับประเด็นสุขภาพจิต จิตเวชและจิตสังคม” จัดโดย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ชวนผู้คนที่เกี่ยวข้องมาขบคิด แลกเปลี่ยน และรับฟังความคิดเห็น

ด้วยเพราะกฎหมายเป็นฐานคิดที่สำคัญต่อการมองเรื่องสิทธิและเสรีภาพ ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชน จึงขยายความกฎหมายในมุมที่เกี่ยวข้องและควรนำมาตีความด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ในสายตาทางกฎหมาย มองคนกลุ่มจิตเวช/จิตสังคม ผ่านประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วยมาตราต่างๆ โดยในประเด็นด้านการประกอบอาชีพ สิ่งสำคัญคือเรื่องกระบวนการ

เช่น อาชีพผู้พิพากษา ต้องมีกระบวนคัดกรองที่มีหลักฐานทางการแพทย์รับรอง “แต่เนื่องจากโรคทางจิตมองไม่เห็นทางกายภาพ จึงเป็นเรื่องที่ประเมินค่อนข้างยาก” แต่มีความสำคัญมาก เพราะสุขภาพจิตส่งผลต่อสุขภาพกายและการแสดงออกของมนุษย์ นอกจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องหลักความเสมอภาคที่ว่า สิ่งที่มีสาระสำคัญเหมือนกัน ต้องได้รับการปฏิบัติที่เหมือนกัน ซึ่งสาระสำคัญของมนุษย์มีสองเรื่องคือ กายและจิต

“ถ้าคนขาขาดถูกปฏิเสธไม่ให้เป็นคนขับรถ ย่อมไม่ขัดต่อหลักความเสมอภาค เนื่องจากร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ แต่กรณีมิติทางจิตใจ เป็นเรื่องที่มองไม่เห็น จึงต้องอาศัยองค์ความรู้ของจิตแพทย์ อธิบายให้เห็นว่า บุคคลนั้นๆ มีความบกพร่องในระดับที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ซึ่งถ้าถูกประเมินว่าจิตไม่เหมือนกับบุคคลทั่วไป หากต้องมีการปฏิบัติงาน ถือว่าไม่ขัดต่อหลักความเสมอภาค” ศ.ดร.บรรเจิด อธิบาย

ดังนั้น กระบวนการที่มีข้อมูลเชิงประจักษ์จึงเป็นสิ่งสำคัญของประเด็นนี้ เช่น การคัดกรองคนก่อนเข้าทำงานต้องเป็นกระบวนการที่มีองค์ความรู้รองรับชัดเจนโดยผู้เชี่ยวชาญ เปิดเผย โปร่งใส และตรวจสอบได้ และการกำหนดเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้อง ควรมีข้อมูลเชิงวิชาการรองรับชัดเจนและเชื่อถือได้ เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยอมรับ นอกจากนี้กระบวนการระหว่างทาง ก็เป็นเรื่องสำคัญ

“การค้นหาคนที่เกิดปัญหาสุขภาพจิตระหว่างการทำงาน ถ้าสามารถค้นหาและนำเข้าสู่กระบวนการรักษาได้เร็ว ก็จะไม่เกิดผลกระทบต่อสังคม และยังเป็นการคุ้มครองสิทธิ์ไม่ให้เกิดการพิพากษาจากสังคม ดังนั้น ต้องสร้างความเข้าใจในสังคม และหาจุดร่วมเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย ทั้งผลต่อภาครัฐหรือประโยชน์ต่อส่วนรวม พร้อมๆ กับการปกป้องคุ้มครองสิทธิ์ของผู้ป่วย ซึ่งอาจไม่ใช้แค่การทบทวนกฎ ก.พ. แต่ต้องมองระดับมหภาค โดยต้องสร้างมาตรการทางสังคม เพื่อให้เกิดดุลยภาพที่สมดุลและเป็นธรรมร่วมกัน” ศ.ดร.บรรเจิด กล่าว

(อ่านต่อฉบับวันอาทิตย์ที่ 6 พ.ย. 2565)

 

สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)

SCOOP@NAEWNA.COM

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ‘ละเลย’สูญเสียมหาศาล ‘ใจคนทำงาน’สำคัญต้องดูแล ‘ละเลย’สูญเสียมหาศาล ‘ใจคนทำงาน’สำคัญต้องดูแล
  • ‘คนไทย’มีปัญหา‘สุขภาพจิต’อื้อ  ‘เยาวชน-วัยเรียน’กลุ่มเสี่ยงน่าห่วง ‘คนไทย’มีปัญหา‘สุขภาพจิต’อื้อ ‘เยาวชน-วัยเรียน’กลุ่มเสี่ยงน่าห่วง
  • สกู๊ปแนวหน้า : ‘สุขภาพจิต’เรื่องใหญ่  ‘ชุมชน’ตัวแปรร่วมดูแลได้ สกู๊ปแนวหน้า : ‘สุขภาพจิต’เรื่องใหญ่ ‘ชุมชน’ตัวแปรร่วมดูแลได้
  •  

Breaking News

ฟาดจุกๆ! ‘หมอรพ.สรรพสิทธิประสงค์’หวด‘เท้ง’กล่าวหารพ.ไม่รับผู้ป่วยเขมร ฉะเป็นผู้นำไม่ได้

จนท.ปางมะผ้าสนธิกำลัง! รวบชายนั่งเสียบกิ่งมะม่วง-ค้นพบยาบ้าในตัวอีก200กว่าเม็ด

‘ยิปซีพยากรณ์’ดวงรายวัน วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม 2568

‘สว.ตัวตึง’โวยงบช่วยเหลือภัยสงคราม 100 ล้าน มีแต่‘หนังสือสั่งการ’ไร้ตัวเงิน ‘อบจ.’ใกล้ถังแตก

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved