“ปัจจุบันเรื่องสุขภาพจิต กลายเป็นประเด็นที่สังคมมีความตระหนักถึงมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่สถานการณ์หลายอย่างล้วนเป็นสิ่งเร้าที่อาจทำให้เกิดการสะสมความเครียดในจิตใจ” ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาครอบครัว การงาน การเจ็บป่วยหรือโรคภัยต่างๆ เศรษฐกิจ การเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งหากใครจัดการความเครียดต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้ อาจมีแนวโน้มภาวะทางอารมณ์ผิดปกติ หรือต้องเผชิญกับปัญหาด้านสุขภาพจิตค่อนข้างสูง จนบางคนอาจถึงขั้นกลายเป็น “ผู้ป่วยโรคจิตหรือโรคอารมณ์ผิดปกติ” ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยพบว่า “ปีงบประมาณ 2564 มีการให้บริการผู้ป่วยจิตเวช จำนวน 327,527 คน เพิ่มขึ้นจากปีงบ 2563 ที่มีจำนวน 265,202 คน” รวมถึงข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข รายงานจำนวนผู้ป่วยโรคทางจิตที่มักเกิดปัญหากับการทำงาน ที่มารับบริการด้านจิตเวช ประจำปีงบประมาณ 2564 อาทิ โรคจิตเภท 284,273 คน โรคอารมณ์สองขั้ว 34,675 คน โรคซึมเศร้า 353,267 คน และโรคจิตอื่นๆ 102,703 คน นอกจากนี้ จากรายงานขององค์การอนามัยโลก ยังพบอีกว่า ประชากร 1 ใน 8 คน หรือ 970 ล้านคนทั่วโลก กำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยด้านสุขภาพจิต
อาทิ โรคซึมเศร้า วิตกกังวล โดยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่วนรายงานของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ปีงบประมาณ 2564 พบว่า มีการขึ้นทะเบียนคนพิการประเภท 4 ด้านจิตใจหรือพฤติกรรม จำนวน 164,230 คน คิดเป็นร้อยละ 7.84 ของคนพิการที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด และส่วนใหญ่อายุ 15-59 ปีซึ่งยังอยู่ในวัยทำงาน ทั้งนี้ ข้อมูลตัวเลขดังกล่าวยิ่งตอกย้ำว่า ปัญหาสุขภาพจิตเป็นปัญหาสำคัญทั้งในระดับประเทศและโลกที่สังคมมิอาจเพิกเฉย
ทั้งนี้ “จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2565 เห็นชอบร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยโรค พ.ศ. … ตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) เสนอปรับปรุงกฎ ก.พ. ว่าด้วยโรค พ.ศ. 2553 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจโรคจิตหรือโรคอารมณ์ผิดปกติ” โดยคณะกรรมการการแพทย์ของ ก.พ. ก่อนประกาศราชกิจจานุเบกษา
สำหรับสาระสำคัญของร่างกฎ ก.พ. ดังกล่าวมีการ “ยกเลิกโรควัณโรคในระยะแพร่กระจายเชื้อ” ซึ่งเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ ออกจากลักษณะต้องห้าม ของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน ขณะที่มีการ “เสนอให้โรคจิต(Psychosis) หรือโรคอารมณ์ผิดปกติ (Mood Disorders) ที่มีอาการเด่นชัดรุนแรงหรือเรื้อรัง และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ เป็นลักษณะต้องห้าม” ซึ่งลักษณะต้องห้ามดังกล่าว อาจมีความไม่สอดคล้องกับประเด็นในด้านสิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพของกลุ่มคนพิการทางจิตสังคม และกลุ่มผู้ป่วยจิตเวช
และนโยบายการส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการในหน่วยงานของรัฐ ตลอดจนหลักการไม่เลือกปฏิบัติตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีให้การรับรอง ซึ่งการระบุให้โรคจิตหรือโรคอารมณ์ผิดปกติเป็นลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน อาจส่งผลให้กลุ่มคนพิการทางจิตสังคม และกลุ่มผู้ป่วยจิตเวช ปฏิเสธการเข้าสู่กระบวนการรักษา
ทำให้สภาวะความเจ็บป่วยมีความรุนแรงมากขึ้น ตลอดจนเป็นการซ้ำเติมและตีตราต่อคนพิการทางจิตสังคมว่าไม่สามารถทำงานได้ ทั้งๆ ที่กลุ่มคนพิการทางจิตสังคม และกลุ่มผู้ป่วยจิตเวช สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและหายขาดจากโรคได้ หากได้รับการรักษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ประเด็นนี้จึงเป็นที่มาของเวทีเสวนา “ปิดช่องว่าง สร้างโอกาส เพิ่มความเป็นธรรม กับประเด็นสุขภาพจิต จิตเวชและจิตสังคม” จัดโดย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ชวนผู้คนที่เกี่ยวข้องมาขบคิด แลกเปลี่ยน และรับฟังความคิดเห็น
ด้วยเพราะกฎหมายเป็นฐานคิดที่สำคัญต่อการมองเรื่องสิทธิและเสรีภาพ ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชน จึงขยายความกฎหมายในมุมที่เกี่ยวข้องและควรนำมาตีความด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ในสายตาทางกฎหมาย มองคนกลุ่มจิตเวช/จิตสังคม ผ่านประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วยมาตราต่างๆ โดยในประเด็นด้านการประกอบอาชีพ สิ่งสำคัญคือเรื่องกระบวนการ
เช่น อาชีพผู้พิพากษา ต้องมีกระบวนคัดกรองที่มีหลักฐานทางการแพทย์รับรอง “แต่เนื่องจากโรคทางจิตมองไม่เห็นทางกายภาพ จึงเป็นเรื่องที่ประเมินค่อนข้างยาก” แต่มีความสำคัญมาก เพราะสุขภาพจิตส่งผลต่อสุขภาพกายและการแสดงออกของมนุษย์ นอกจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องหลักความเสมอภาคที่ว่า สิ่งที่มีสาระสำคัญเหมือนกัน ต้องได้รับการปฏิบัติที่เหมือนกัน ซึ่งสาระสำคัญของมนุษย์มีสองเรื่องคือ กายและจิต
“ถ้าคนขาขาดถูกปฏิเสธไม่ให้เป็นคนขับรถ ย่อมไม่ขัดต่อหลักความเสมอภาค เนื่องจากร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ แต่กรณีมิติทางจิตใจ เป็นเรื่องที่มองไม่เห็น จึงต้องอาศัยองค์ความรู้ของจิตแพทย์ อธิบายให้เห็นว่า บุคคลนั้นๆ มีความบกพร่องในระดับที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ซึ่งถ้าถูกประเมินว่าจิตไม่เหมือนกับบุคคลทั่วไป หากต้องมีการปฏิบัติงาน ถือว่าไม่ขัดต่อหลักความเสมอภาค” ศ.ดร.บรรเจิด อธิบาย
ดังนั้น กระบวนการที่มีข้อมูลเชิงประจักษ์จึงเป็นสิ่งสำคัญของประเด็นนี้ เช่น การคัดกรองคนก่อนเข้าทำงานต้องเป็นกระบวนการที่มีองค์ความรู้รองรับชัดเจนโดยผู้เชี่ยวชาญ เปิดเผย โปร่งใส และตรวจสอบได้ และการกำหนดเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้อง ควรมีข้อมูลเชิงวิชาการรองรับชัดเจนและเชื่อถือได้ เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยอมรับ นอกจากนี้กระบวนการระหว่างทาง ก็เป็นเรื่องสำคัญ
“การค้นหาคนที่เกิดปัญหาสุขภาพจิตระหว่างการทำงาน ถ้าสามารถค้นหาและนำเข้าสู่กระบวนการรักษาได้เร็ว ก็จะไม่เกิดผลกระทบต่อสังคม และยังเป็นการคุ้มครองสิทธิ์ไม่ให้เกิดการพิพากษาจากสังคม ดังนั้น ต้องสร้างความเข้าใจในสังคม และหาจุดร่วมเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย ทั้งผลต่อภาครัฐหรือประโยชน์ต่อส่วนรวม พร้อมๆ กับการปกป้องคุ้มครองสิทธิ์ของผู้ป่วย ซึ่งอาจไม่ใช้แค่การทบทวนกฎ ก.พ. แต่ต้องมองระดับมหภาค โดยต้องสร้างมาตรการทางสังคม เพื่อให้เกิดดุลยภาพที่สมดุลและเป็นธรรมร่วมกัน” ศ.ดร.บรรเจิด กล่าว
(อ่านต่อฉบับวันอาทิตย์ที่ 6 พ.ย. 2565)
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี