“ขยะพลาสติก” เป็นหนึ่งในปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งประเทศต่างๆ ได้พยายามหาวิธีแก้ไขเพื่อให้ปัญหานี้ทุเลาเบาบางลง หรือหมดสิ้นไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากพลาสติกเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติทนทาน น้ำหนักเบา และใช้ต้นทุนในการผลิตต่ำ จึงถูกนำมาใช้งานอย่างกว้างขวางในชีวิตประจำวันของมนุษย์
ดังนั้น พลาสติกจำนวนมากมายมหาศาลที่ผ่านการใช้งาน จนกลายเป็นขยะพลาสติก จึงเป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการให้ดี เพราะหากใช้วิธีการกำจัดที่ไม่ถูกต้อง ก็จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างปัญหาต่อระบบนิเวศ และยังแตกตัวเป็นไมโครพลาสติกที่ย้อนกลับมาสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ กลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาได้
ในส่วนของประเทศไทย ก็ประสบกับปัญหาขยะพลาสติกอย่างมากเช่นกัน ซึ่งข้อมูลจาก www.worldpopulationreview.com ระบุว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา ประเทศไทยติดอันดับ 19ของการมีขยะพลาสติกมากที่สุดในโลก คิดเป็นปริมาณ3.53 ล้านตันต่อปี นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีขยะพลาสติกถูกปะปนเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมคิดเป็น 79% ของปริมาณขยะพลาสติกที่ถูกทิ้งทั่วโลก
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ปัญหาขยะพลาสติกของประเทศไทยยังไม่คลี่คลายนั้น จากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลปัญหาขยะพลาสติก โดยสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย พบว่า เป็นผลจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งสามารถผลิตพลาสติกได้ปริมาณมาก และมีความหลากหลาย ยากแก่การจำแนกชนิดพลาสติกและนำไปรีไซเคิล, พฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่คัดแยกขยะรวมถึงนิยมใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ซึ่งมีความสะดวกสบาย, การขยายตัวของบริการซื้อสินค้าและอาหารแบบออนไลน์, การขาดประสิทธิภาพในการจัดการขยะมูลฝอยโดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ยังรวมถึงขาดการสนับสนุนและขาดโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการรีไซเคิลพลาสติก ทำให้ขยะพลาสติกร้อยละ 75 ของขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นราว 2 ล้านตันต่อปีไม่ถูกนำไปรีไซเคิล โดยต้องกำจัดด้วยวิธีการฝังกลบ แบบถูกต้องตามหลักวิชาการ แบบเทกอง การเผาในที่โล่ง และการเผาแบบผลิตพลังงาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้มีความพยายามในการจัดการกับปัญหาขยะพลาสติกอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยได้กำหนดให้การจัดการขยะเป็นวาระแห่งชาติ มาตั้งแต่ปี 2557 มีการตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ และกำหนดให้มีการนำ “ขยะพลาสติกเป้าหมาย” กลับมาใชประโยชน์ร้อยละ 100 ในปี 2573 ซึ่งได้เริ่มจากการยกเลิกพลาสติกหุ้มฝาขวด (Cap seal) และไมโครบีด (Micro-bead)
โดยในช่วงต้นปี 2563 ได้มีการรณรงค์ลด-ละ-เลิกพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวโดยเฉพาะถุงพลาสติก แต่สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ปริมาณการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (Single – Use Plastic) จากบริการส่งอาหาร เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การผลิตพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวโดยรวมในปี 2564 ก็มีแนวโน้มลดลง
ขณะที่ภาครัฐก็ยังคงเดินหน้าเลิกใช้พลาสติก 4 ชนิด ซึ่งล้วนเป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ได้แก่ ถุงพลาสติกแบบบางน้อยกว่า 36 ไมครอน, กล่องโฟมบรรจุอาหาร,แก้วพลาสติกแบบบางน้อยกว่า 100 ไมครอน และหลอดพลาสติก ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากมติคณะรัฐมนตรีในปี 2565 เพื่อให้เป็นไปตามโรดแมปการจัดการขยะพลาสติกของประเทศ
ทั้งนี้ ได้มีหนึ่งตัวอย่างของความพยายามจัดการกับปัญหาขยะพลาสติกในประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา บริษัท โคเวสโตร (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในผู้นำด้านการผลิตโพลีเมอร์คุณภาพสูง ได้เปิดศูนย์การเรียนรู้ด้านนวัตกรรมพลาสติกเพื่อความยั่งยืน kids Lab ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์ต้องการมอบพื้นที่นอกห้องเรียนให้กับเด็กไทยในการเรียนรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการจัดการขยะพลาสติกอย่างถูกวิธีรวมถึงความรู้เกี่ยวกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน แบบวิธี Learn & Play ให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ในโรงเรียนที่อยู่รอบๆ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง
โคเวสโตร มีเป้าหมายว่าศูนย์การเรียนรู้ด้านนวัตกรรมพลาสติกฯ แห่งนี้ จะขยายวงกว้างไปสู่เยาวชนรุ่นใหม่ๆ ในจังหวัดอื่นๆ ใกล้เคียง รวมถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่ระดับนักเรียนชั้นประถมศึกษา และนิสิตนักศึกษา ที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย ของกรุงเทพฯ ด้วย
เป้าหมายการเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ด้านนวัตกรรมพลาสติกฯ แห่งนี้ คาดว่าจะมีน้องๆ นักเรียนจากระดับชั้นประถมศึกษาเข้าร่วม Learn & Play จำนวนต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 2-3 กรุ๊ปโดยแต่ละกรุ๊ปสามารถรองรับได้ 30 คน ระยะเวลาเข้าเยี่ยมชมอยู่ที่ 2 ชั่วโมง ต่อกรุ๊ป คิดเป็นต่อปีจะมีเยาวชนคนรุ่นใหม่เข้ามาเยี่ยมชมเรียนรู้ รวมทั้งหมด 400 คน
ภายในศูนย์การเรียนรู้ด้านนวัตกรรมพลาสติกฯ มีทั้งหมด 4 โซน ได้แก่ 1.โซนความรู้เกี่ยวกับการเดินทางของขยะพลาสติกและการรีไซเคิลพลาสติก 2.โซนวิธีการจัดการขยะพลาสติก 3.โซนเรียนรู้ว่าจะสามารถนำพลาสติกกลับมาสร้างให้เกิดคุณค่าใหม่ได้อย่างไร และ 4.โซนเรื่องนวัตกรรมของบริษัทเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการรีไซเคิลสินค้าหรือวัสดุที่ใช้แล้วให้สามารถนำกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อการผลิตสินค้าต่างๆ ใหม่ได้อีกครั้ง
ดร.ทีโม สลาวินสกี้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคเวสโตร(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เยาวชนคนรุ่นใหม่เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกของเราให้ยั่งยืนมากขึ้นในอนาคต เราต้องปลูกฝังความคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับความยั่งยืน และเศรษฐกิจหมุนเวียนให้กับพวกเขา และโคเวสโตรมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนพวกเขาในทุกทางที่เราสามารถทำได้ เพราะจุดมุ่งหมายของโคเวสโตร คือ “การสร้างสรรค์เพื่อโลกที่สดใสยิ่งขึ้น”
ดร.ทีโม สลาวินสกี้ กล่าวว่า ความยั่งยืนเป็นองค์ประกอบหลักในพันธกิจของโคเวสโตรและเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์ของบริษัท ในฐานะที่โคเวสโตรเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและมุ่งสร้างการเติบโตด้วยผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่สร้างประโยชน์ให้กับสังคมและลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายสู่ความยั่งยืนที่ครอบคลุมมากกว่าการดำเนินงานในปัจจุบัน ตัวอย่าง เช่น บริษัทมุ่งบรรลุความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศภายในปี 2578 และต้องการสร้างให้เกิดการหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบตลอดห่วงโซ่
“ความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืนนี้ เป็นมากกว่าแค่คำประกาศและโคเวสโตรได้พิสูจน์ให้เห็นจากหลายโครงการแล้วว่าบริษัท สามารถทำแนวคิดใหม่ๆ ให้กลายเป็นจริงได้ เช่น การพัฒนาพื้นฐานวัตถุดิบ เพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานทุกแห่งอย่างต่อเนื่องและช่วยให้ลูกค้าสามารถออกแบบกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งนวัตกรรม เกือบทั้งหมดของโคเวสโตรพัฒนาขึ้นจากความพยายามในการให้ความสำคัญกับทั้งเศรษฐกิจและระบบนิเวศ เพื่อสร้างประโยชน์ให้สิ่งแวดล้อมและส่งเสริมความสำเร็จทางธุรกิจของลูกค้า” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคเวสโตร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
ในประเทศไทย โคเวสโตรได้ปฏิบัติตามหลักการผลิตที่ยั่งยืนและแสดงจุดยืนด้านความยั่งยืน ของบริษัท โรงงานผลิตในมาบตาพุดได้สนับสนุนวาระนานาชาติด้านความยั่งยืนผ่าน โครงการริเริ่มหลายโครงการ ตัวอย่างเช่น บริษัทฯได้เปลี่ยนจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการใช้ไบโอดีเซลสำหรับกิจกรรมทางโลจิสติกส์ภายในโรงงาน, การเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงทดแทนที่ เผาไหม้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นทำให้สามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ภายในห่วงโซ่คุณค่าได้มากกว่าเดิม, การริเริ่มการผลิตแบบสมดุลมวลสาร ซึ่งโคเวสโตร ได้รับการรับรองจาก ISCC PlusCertificate นอกจากนี้บริษัทกำลังวางแผนการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิตเพื่อลด มลพิษทางน้ำและอากาศอีกด้วย
จะเห็นได้ว่า ปัญหาขยะพลาสติก เป็นหนึ่งหลายปัญหาสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ที่หลายภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันแก้ไข ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ที่เกี่ยวข้องกับทุกขั้นตอนในการผลิตพลาสติก ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำแผนปฏิบัติการ การรณรงค์ให้เข้าใจถึงปัญหาขยะพลาสติก การดูแลผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และขยะที่เกิดจากกระบวนการผลิต การกำหนดจุดรับและรวบรวมขยะพลาสติก เข้าสู่กระบวนการผลิตเพื่อกลับมาใช้ใหม่
ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ถือเป็นปัญหาใหญ่ของโลก ที่ยังรอความร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขให้ดีขึ้น เพื่อให้โลกใบนี้เป็นโลกที่น่าอยู่สำหรับพวกเราทุกคนต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี