วุฒิสภา ร่วมกับ สมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน(สสดย.), มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย และอีกหลายองค์กรจัดงานวันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ เมื่อช่วงต้นเดือนก.พ. 2566 ที่ผ่านมา พร้อมเปิดวงเสวนาสถานการณ์ปัญหาและแนวทางป้องกันแก้ไขภัยออนไลน์ โดย ศรีดา ตันทะอธิพานิช กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย กล่าวว่า ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน เคยมีการสำรวจว่าด้วยระบบรักษาความปลอดภัยออนไลน์ของเด็กในแต่ละประเทศ มีกลุ่มตัวอย่างคัดมา 30 ประเทศและไทยอยู่รั้งท้าย
ส่วนประเทศไทยเอง เมื่อช่วงกลางปี 2565 เคยมีการสำรวจสถานการณ์ภัยออนไลน์กับเด็ก ซึ่งเด็กร้อยละ 81 มีโทรศัพท์มือถือเป็นของตนเอง และร้อยละ 85 ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) อย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นหากมองในแง่งานวิจัย ย่อมสุ่มเสี่ยงกับภัยออนไลน์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40 โดยในขณะที่การใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของไทยสูงมาก แต่การป้องกันความเสี่ยงโดยเฉพาะกับเด็กกลับมีน้อย
ซึ่งด้านหนึ่งคือความไม่พร้อมของกฎหมายและเจ้าหน้าที่แต่อีกด้านพ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่เข้าใจการเลี้ยงดูเด็ก เช่น อายุยังไม่ถึง 2 ขวบ ก็ได้จับโทรศัพท์มือถือแล้ว “เด็กทุกวันนี้โตมาแบบติดมือถือก็เพราะพ่อแม่ใช้มือถือเลี้ยงลูก” ในขณะที่เพื่อนบ้านของไทยอย่างมาเลเซียหรือสิงคโปร์ มีอันดับค่อนข้างดีในมาตรการปกป้องเด็กจากความเสี่ยงทางออนไลน์ หรือฟิลิปปินส์ก็มีกฎหมายป้องกันการล่อลวงแสวงหาประโยชน์ทางเพศกับเด็ก (Grooming) โดยเฉพาะ
“กฎหมาย Grooming แค่จับผู้ต้องสงสัยแล้วเอามือถือมาดูพบว่ากำลังคุยกับเด็ก 10 คน แล้วมีข้อความในลักษณะ รักเสมออยากเจอมาก เราจะอยู่ด้วยกันได้ไหม หรือบางทีเมื่อคืนนี้ฝันถึง คำพูดที่มันสามารถวิเคราะห์เจตนาว่าถ้าเจอเด็กเมื่อไร มีโอกาสเมื่อไรต้องละเมิดทางเพศเด็กแน่นอน อันนี้ก็เป็นหลักฐานแล้วนะ ไม่ต้องรอให้มีคลิปหลุด ไม่ต้องรอให้เกิดโศกนาฏกรรม ฉะนั้นประเทศที่เขามีระบบพวกนี้ถือว่าล้ำ แล้วเขาก็ได้การประเมินระดับต้น ประเทศเราควรจะต้องคุยกันเรื่องของกฎหมายที่เท่าทันสถานการณ์” ศรีดา กล่าว
ศรีดา ยังขยายความในประเด็นการเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ใช้โทรศัพท์มือถือ ว่า เหตุที่ไม่ควรทำเพราะส่งผลให้พัฒนาการของเด็กล่าช้า เรื่องนี้เคยมีผลการศึกษาเมื่อปี 2559 ที่ทำร่วมกันระหว่างสมาคมโรงเรียนอนุบาลแห่งประเทศไทยกับกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า เด็กไทยมีพัฒนาการล่าช้าถึงร้อยละ 30 อาทิ ด้านการสื่อสาร การเข้าสังคม การควบคุมอารมณ์ตนเอง และอาจมีภาวะออทิสติกเทียม (มีปัญหาด้านการเรียนรู้) ทั้งหมดนี้เป็นชุดความรู้ที่สังคมยังไม่ทราบ จึงยังปล่อยให้เด็กอยู่กับโทรศัพท์มือถือ
อีกทั้งยังมีตัวอย่างใกล้ตัว เป็นลูกของคนที่รู้จักกัน ด้วยความที่ปล่อยให้ลูกอยู่กับโทรศัพท์มือถือตั้งแต่เล็กๆ เด็กก็เรียนรู้จากสื่อในโทรศัพท์มือถือ เช่น ดูการ์ตูนรูปสัตว์ต่างๆ กระทั่งวันหนึ่งเห็นลูกมีพฤติกรรมแปลกๆ คือ คลาน 4 ขาเหมือนสัตว์แทนที่จะเดิน 2 ขาเหมือนมนุษย์ และพูดจาด้วยภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง ซึ่งต่อมาผู้เป็นแม่ก็ทราบว่าต้นตอเกิดจากเด็กเลียนแบบจากสื่อการ์ตูนเหล่านั้น จึงยอมที่จะใช้เวลาอยู่กับลูกมากขึ้นจากเดิมที่ไปทำงานไกลบ้านแล้วฝากลูกไว้ให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง
พญ.วนิดา เปาอินทร์ กุมารแพทย์ กล่าวว่า หากดูการศึกษาด้านสมอง จะพบว่า “เด็กเล็กฉลาดขึ้นด้วยการเคลื่อนไหว” ดังนั้นการหยุดเคลื่อนไหวโดยให้อยู่กับหน้าจอก็เป็นผลกระทบส่วนหนึ่งอยู่แล้ว เด็กเล็กนั้นเรียนรู้แบบ 3 มิติ เช่น เมื่อเรียนรู้ที่จะฝึกพูด กระบวนการจะมีทั้งการได้ยินเสียง เห็นหน้า เห็นวิธีการพูด ที่ไม่ใช่จากหน้าจอ และจะเรียนรู้ได้ดีขึ้นหากมีความสุข ซึ่งเกิดขึ้นจากผู้ใหญ่ที่มีความผูกพันกันมีกิจกรรมร่วมกัน
ขณะที่ “เด็กโตเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ” เด็กโตในที่นี้หมายถึงวัยที่เข้าเรียนชั้นประถมศึกษา การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อลงมือทำแล้วบอกกับตนเองว่าทำได้ หรือแม้แต่ทำแล้วล้มเหลวก็ยังได้เรียนรู้จากความพยายาม ส่วน “วัยรุ่นพัฒนาจากการมีตัวตน”หมายถึง การรู้สึกว่าตนเองมีค่า ตนเองเป็นใครในสังคมนี้ตนเองสามารถออกจากการดูแลของพ่อแม่ได้ โดยสรุปแล้ว “เด็กคือกลุ่มเสี่ยงอย่างที่สุด (Perfect Victim) จากภัยทางอินเตอร์เนต” ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยใดก็ตาม
“ยกตัวอย่างการล่อลวงต้องใช้ความสามารถทางภาษา ฉะนั้นตัวที่จะเป็น Victim (เหยื่อ) สูงๆ จากการถูกล่อลวงก็จะเป็นกลุ่ม Teen (วัยรุ่น) กับ Pre-Teen (ก่อนวัยรุ่น) เพราะถ้าเด็กเล็กกว่านั้นจะยังไม่สื่อสารได้ขนาดนั้น จะไม่สามารถเข้าใจการล่อลวงได้ เพราะฉะนั้น Teen กับ Pre-Teen จะโดนเยอะ ทีนี้ทำไมพวกนี้ถึงเป็น Perfect Victim เพราะอันแรกคือเมื่อแสวงหาตัวตน แสวงหาความรู้สึกว่าฉันมีค่า ฉันมีคนสนใจ หน้าตาดี ผิวพรรณดี น่าจะมาโฆษณาได้ อันนี้ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกมีค่า พอให้ค่าตอบแทนก็รู้สึกว่าตัวเองหาเงินได้
มันเป็นลักษณะที่มนุษย์แสวงหาสิ่งนี้ แสวงหาการยืนได้ด้วยตัวเอง ต้องการการยอมรับ ต้องการบอกว่าตัวเองมีคุณค่าแบบไหน แล้วคนที่มาล่อลวงเด็กเขามีความสามารถ เขาเข้าใจมนุษย์ จริงๆ ถ้าเขาเป็นคนดีเขาจะทำงานตรงนี้ได้พิเศษมากๆ แต่พอเขาใช้จิตวิทยาของเขาในอีกรูปแบบหนึ่ง เขาก็จะเป็นคนเก่งมากในสิ่งที่เขาทำอยู่ ก็คือจะล่อลวงเด็กได้เยอะ” พญ.วนิดา ระบุ
พญ.วนิดา ยังกล่าวอีกว่า “สมองของมนุษย์ของก่อนวัยรุ่นและตอนเป็นวัยรุ่นเป็นช่วงที่ต้องการความสุข สนุกและตื่นเต้นเร้าใจ” จึงอธิบายได้ว่า “ทำไมเด็กหรือวัยรุ่น (หรือแม้แต่ผู้ใหญ่) จึงชอบเล่นเกม เพราะเกมสามารถตอบสนองสิ่งที่สมองต้องการได้” แต่มนุษย์ก็ต้องการการเรียนรู้ที่หลากหลาย ดังนั้นหากไม่ควบคุมการเล่นเกมโดยตรงแต่กำหนดว่าต้องทำสิ่งอื่นๆ ด้วย เช่น รับประทานอาหาร พักผ่อนออกกำลังกาย ฯลฯ เวลาที่ใช้เล่นเกมก็จะลดลงไปโดยอัตโนมัติ กล่าวคือ “ให้เกมเป็นส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่ของชีวิต” เพื่อไม่ให้สมดุลการพัฒนาหายไป
อนึ่ง “สมองส่วนหน้าเกี่ยวข้องทักษะการวิเคราะห์อันตรายและการมีเหตุผล..แต่การที่มนุษย์ถูกสร้างมาให้สมองส่วนกลางโตเร็วกว่าสมองส่วนหน้านั้นก็เพราะในช่วงวัยที่กำลังเจริญเติบโต (วัยเด็กและวัยรุ่น) หากมีความกังวลมากการเรียนรู้ก็จะด้อยลง” การโตของสมองในลักษณะนี้
จึงมีขึ้นเพื่อให้มนุษย์ฉลาดที่สุด แต่ก็ทำให้มนุษย์มีช่วงที่ปกป้องตนเองจากอันตรายได้น้อยที่สุดด้วย
ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการศูนย์คดีละเมิดทางเพศเด็ก กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวว่า ในอดีตเจ้าหน้าที่สามารถเฝ้าระวังอาชญากรรมโดยเจาะจงไปเฉพาะบางจุดที่เป็นพื้นที่เสี่ยง เช่น ในเมืองท่องเที่ยว กระทั่งเมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลคำว่าพื้นที่เสี่ยงก็ไม่มีอีกต่อไปเพราะความเสี่ยงมีอยู่ทุกที่ อีกทั้งการก่ออาชญากรรมยังทำได้แม้จะอยู่คนละประเทศ ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงต้องมีภาคีเครือข่ายระหว่างประเทศ
“คดีแบบนี้เด็กไม่อยากจะเล่าให้ใครฟัง เนื่องจากกฎหมายสอบสวนปากคำเด็กตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จะให้นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ หรือบุคคลที่ไว้วางใจ ส่วนใหญ่ที่เด็กร้องขอผู้ไว้วางใจมักจะไม่เลือกพ่อแม่ตัวเอง ชอบเลือกพ่อแม่เพื่อนมากกว่า เหมือนเวลาไปเล่นบ้านเพื่อนแล้วเห็นว่าพ่อแม่เพื่อนใจดีแล้วชอบให้พ่อแม่เพื่อนมาฟังเรื่องที่ตัวเองตกเป็นผู้เสียหายมากกว่าพ่อแม่ตัวเอง เนื่องจากกลัวว่าพ่อแม่จะเสียใจ กลัวพ่อแม่จะดุ จะลงโทษ หลากหลายเหตุผล แต่สิ่งที่เราพบเจอคือไม่อยากให้พ่อแม่ทราบ” ร.ต.อ.เขมชาติ กล่าว
ร.ต.อ.เขมชาติ กล่าวต่อไปว่า “อาชญากรบางครั้งก็เป็นคนใกล้ชิดกับเด็ก และการถูกจับกุมดำเนินคดีก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของเด็กและครอบครัวไปด้วย” เช่น เคยมีบุญคุณกันมาก่อน เป็นนายจ้าง เป็นครู หรือเป็นคนที่สนิทสนมในละแวกที่พักอาศัย ขณะเดียวกัน “อาชญากรก็มีการพัฒนากลยุทธ์” เช่น มีการพูดคุยกันในเครือข่ายว่าจะหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่อย่างไร แม้ผู้กระทำผิดแต่ละคนจะไม่รู้จักกันเลยก็ตาม เพียงแต่มารวมกลุ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลเพราะมีรสนิยมเดียวกัน
เบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ในช่วงแรกๆ ที่ สสส. ทำงานประเด็นภัยออนไลน์ จะมองไปที่ผู้สูงอายุว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ถูกหลอกขายสินค้า แต่ก็เริ่มมองเห็นเด็กและเยาวชนใช้เทคโนโลยีไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร อย่างไรก็ตาม สสส. ไม่ได้ทำงานเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ทำงานโดยชวนคนที่อยู่ในระบบนิเวศ (Ecosystem) หรือผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ ไม่ว่าภาครัฐ เอกชนหรือภาคประชาสังคม ได้มาพบเจอกันเพื่อพูดคุยหาทางออกร่วมกัน
“ความต่อเนื่องสำคัญมากๆ ไม่ว่าปีนี้เราจะให้ความสำคัญเยอะ ปีหน้าอาจจะน้อยลง แต่เราทำและทำอย่างต่อเนื่อง หลายๆ เรื่องเราไม่สามารถบอกได้ว่าวันนี้เราทุ่มทุน ปีหน้าเราหยุด มันไม่ได้ มันก็คือต้องทำอย่างต่อเนื่อง และดีใจมากที่วันนี้เห็นโลโก้ขึ้น มันไม่ใช่แค่ 2-3 ที่แล้ว มันเติบโต เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ แล้วก็อยากให้เมืองไทยเป็นเมืองที่มองเห็นเพื่อนแล้วอยากช่วยเหลือ แล้วก็ทำให้เกิดการทำงานร่วมกัน มองเห็นเป้าหมายชัดเจนร่วมกัน” เบญจมาภรณ์ กล่าว