เอ็มเทค สวทช. วิจัยพัฒนาอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถบรรทุกที่มีความแข็งแรงเป็นไปตามมาตรฐาน สามารถผลิตขึ้นจากวัสดุที่หาได้ภายในประเทศและใช้กระบวนการผลิตที่ผู้ผลิตในประเทศทั่วไปทำได้ มีต้นทุนไม่สูงสามารถแข่งขันได้ พร้อมแนะแนวทางการออกแบบและผลิตให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ผลิตรถ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้นำเข้า และผู้ประกอบตัวถังรถบรรทุกในประเทศ ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ผลิตรถบรรทุกในการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกัน เพื่อยกระดับความปลอดภัยของรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ เพื่อลดอัตราการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และลดการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ได้มีการจัดแถลงข่าวเปิดตัวอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถบรรทุก ยกระดับความปลอดภัยของรถบรรทุกที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ ภายใต้ความร่วมมือของศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกรมการขนส่งทางบก
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานวิจัยระดับประเทศ ที่มีเป้าหมายในการนำความรู้ เครื่องมือ และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาสร้างกระบวนการวิจัยและกลไกที่จะนำไปสู่การใช้ประโยชน์จริง เพื่อแก้ปัญหาที่เป็นโจทย์สำคัญเร่งด่วนของประเทศ ปัญหาของภาคอุตสาหกรรม และที่สำคัญคือประชาชนและชุมชนต้องเข้าถึงงานวิจัยที่ใช้ได้จริง งานในวันนี้
เป็นหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า สวทช. เป็น “ขุมพลังหลักของประเทศ” ที่พร้อมทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่ช่วยตอบโจทย์ และให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทย
โดยหนึ่งในภารกิจหลักที่คณะวิจัยจาก เอ็มเทค สวทช.ที่ได้มีความร่วมมือมาต่อเนื่องกับกรมการขนส่งทางบก คือ ด้านความปลอดภัยทางถนน หรือ Road safety ที่เกี่ยวเนื่องกับการยกระดับความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน ด้วยการออกแบบเชิงวิศวกรรมของโครงสร้างและชิ้นส่วนของรถบรรทุกและรถโดยสารสาธารณะให้มีความปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล แต่ยังคำนึงถึงความพร้อมของผู้ผลิตและผู้ประกอบการในประเทศ ทั้งในด้านการผลิต หรือต้นทุน
“คณะวิจัยจาก เอ็มเทค สวทช. ได้ร่วมกับสำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก ดำเนินโครงการศึกษาและออกแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยคำนึงถึงความพร้อมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งจากผู้ผลิตชิ้นส่วนและประกอบรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ ผู้ประกอบการและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นเร่งด่วน สวทช. ภายใต้ความร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก มีความยินดียิ่งที่จะนำเสนอแนวทางการออกแบบ ให้คำปรึกษาเชิงเทคนิคแก่ผู้ประกอบการด้านการวิจัยและพัฒนาในการออกแบบ วิเคราะห์ และทดสอบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถบรรทุก” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
นอกจากนี้ โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ITAP สวทช. ยังยินดีให้คำปรึกษาด้านการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทำโครงการ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอีกด้วย
นายจักรกฤช ตั้งใจตรง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกได้ให้ความสำคัญ กับความปลอดภัยและมุ่งที่จะลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุในการเดินทางของประชาชน ผู้ใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะโดยที่ผ่านมาพบว่ามีการเกิดอุบัติเหตุของรถยนต์ในลักษณะมีการชนและมุดเข้าไปด้านท้ายของรถบรรทุก หรือการที่มีรถจักรยานยนต์เกิดอุบัติเหตุแล้วลอดเข้าไปด้านข้างของรถบรรทุก มีจำนวนไม่น้อยกว่า 60 ครั้งต่อปี
ด้วยเหตุนี้เอง กรมการขนส่งทางบกจึงได้ร่วมกับเอ็มเทค สวทช. ดำเนินการศึกษาแนวทางการจัดทำแบบมาตรฐานของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ เพื่อจัดทำร่างประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง กำหนดคุณลักษณะ ขนาด ประสิทธิภาพ ตำแหน่ง และเงื่อนไขในการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ พ.ศ. .... ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องตามข้อกำหนดของสหประชาชาติ โดยคำนึงถึงความพร้อมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และตามความจำเป็นเร่งด่วน ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้โดยสาร และผู้ใช้รถใช้ถนน
ดร.กฤษดา ประภากร รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า หนึ่งในภารกิจสำคัญของเอ็มเทค สวทช. คือการนำผลงานวิจัยและพัฒนาเชิงวิศวกรรม โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัยทางถนน หรือ Road safety มาปรับใช้ให้เหมาะสม โดยมีบทบาทในการวิจัยพัฒนาภายใต้ความร่วมมือกับสำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบกในครั้งนี้ คือ
ศึกษาแนวทางการนำมาตรฐานสากล ได้แก่ UN R58 และ UN R73 มาประยุกต์ใช้ในการร่างข้อกำหนดให้เหมาะสมสำหรับในประเทศ
ออกแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (LUPD) และด้านท้าย (RUPD) โดยคำนึงถึง 1) ความแข็งแรงรองรับแรงปะทะจากการชนตามมาตรฐานสากล 2) วัสดุที่ใช้ผลิตสามารถหาได้ภายในประเทศ 3) กระบวนการผลิตที่ผู้ผลิตขนาดใหญ่และเจ้าของรถสามารถผลิตเองได้ 4) น้ำหนักของอุปกรณ์ที่เหมาะสม และ 5) มีต้นทุนของการผลิตอุปกรณ์ที่ต่ำกว่าการนำเข้า
จัดทำแบบเชิงวิศวกรรมของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (LPD) และด้านท้าย (RUPD) ของรถบรรทุกเพื่อเป็นแนวทางให้แก่ผู้ผลิตชิ้นส่วนและประกอบรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ โดยที่ผ่านมา ได้ดำเนินงานร่วมกับ สำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก ผู้ผลิตและประกอบรถบรรทุก ได้ให้ข้อมูลแก่คณะวิจัยในด้านขีดความสามารถในการผลิตประเด็นอุปสรรคปัญหา จากประสบการณ์ผู้ใช้รถบรรทุกในประเทศ และร่วมพิจารณาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตลอดระยะเวลาการศึกษา
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้จัดการโครงการและผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจาก สำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก ได้มีการรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านขีดความสามารถในการผลิตประเด็นอุปสรรคปัญหา จากประสบการณ์ผู้ใช้รถบรรทุกในประเทศผู้ผลิตและประกอบรถบรรทุก มาโดยตลอด และได้จัดทำแนวทางและเอกสารสำหรับผู้ผลิตและประกอบรถบรรทุกในประเทศไทย ได้แก่
• แบบเชิงวิศวกรรมของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (LPD) และด้านท้าย (RUPD) เพื่อเป็นแบบสำหรับการผลิตที่ใช้วัสดุในประเทศ และต้นทุนที่ต่ำกว่าการนำเข้ารวมกว่า 90 แบบ บรรจุในเว็บไซต์ฐานข้อมูลแบบเชิงวิศวกรรมสำหรับผู้ผลิตและประกอบ รวมถึงประชาชนทั่วไป ในการเข้าถึงแบบเชิงวิศวกรรมสำหรับรถบรรทุกลักษณะต่างๆ
• จัดเตรียมเครื่องมือ ได้แก่ แท่นทดสอบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (LPD) และด้านท้าย (RUPD) ที่อ้างอิงมาตรฐาน UN R73 และ UN R58 ตามลำดับ
เพื่อเป็น “จุดตั้งต้น” ให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศ ที่มีลักษณะรถบรรทุกที่หลากหลาย คณะวิจัยได้จัดทำแบบเชิงวิศวกรรมที่พร้อมนำไปใช้ในการผลิตอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้าย จากวัสดุที่หาได้ในประเทศ ภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสมและสามารถแข่งขันได้ โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า “Morphological matrix” หรือการผสมฟังก์ชั่นย่อยของแต่ละชิ้นส่วน โดยให้สามารถสับเปลี่ยนชิ้นส่วนหลักต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนที่ยึดกับแชสซีที่เรียกว่า สเตย์ (Stay) สเปเซอร์ (Spacer) และชิ้นส่วนรับแรงปะทะ ที่เรียกว่า โพรเทคทีพบีม (Protective beam) เพื่อให้ผู้ผลิตในประเทศทั้งรายใหญ่และรายย่อย สามารถเลือกใช้แบบเชิงวิศวกรรมของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายนำไปผลิตและติดตั้งได้เหมาะสมกับลักษณะรถต่างๆ ที่มีความหลากหลายในประเทศ
เป็นอีกหนึ่งงานวิจัยที่จะนำมาใช้เพื่อลดอัตราการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมทั้งยังช่วยลดการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี