เนื่องในโอกาสที่ประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในวันที่ 14 พ.ค. 2566 ช่วงนี้ก็จะมีองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ จัดเวทีเชิญตัวแทนพรรคการเมืองร่วมแสดงมุมมองนโยบายหลากหลายด้าน รวมถึงเวทีหัวข้อ “นโยบายเกษตรกรรมและความมั่นคงทางอาหาร” จัดโดย มูลนิธิชีววิถี และภาคีเครือข่ายรวม 10 องค์กร ณ สวนชีววิถี / สวนผักคนเมือง จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2566 ที่ผ่านมามีตัวแทนจาก 11 พรรคเข้าร่วม
เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center ศูนย์นโยบายของพรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรคก้าวไกลเชื่อในหลักคิดทำให้เกษตรกร “อยู่ได้” และ “เลือกได้” ซึ่งที่ผ่านมานโยบายอุดหนุนภาคเกษตรของรัฐยังทำให้เกษตรกรต้องยึดติดกับการปลูกพืชแบบเดิมๆ คำตอบของความเปลี่ยนแปลงจึงอยู่ที่ “สวัสดิการถ้วนหน้า” โดยร้อยละ 50 ของเกษตรกรไทยเป็นผู้สูงอายุและยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจึงต้องเพิ่มจากเดือนละ 600 บาท เป็น 3,000 บาท ขณะเดียวกันก็ต้องปลดล็อก 3 เรื่อง คือ
1.ที่ดิน เกษตรกรที่อยู่ในที่ดิน 50 ล้านไร่ ไม่มีเอกสารสิทธิ จึงต้องตั้งกองทุนขึ้นมาพิสูจน์สิทธิ์ว่าประชาชนอยู่มาก่อนรัฐประกาศเขตพื้นที่หรือไม่ หรือแม้กระทั่งเขตพื้นที่ที่รัฐประกาศไปแล้วก็ต้องทบทวนว่าปัจจุบันยังจำเป็นต้องคงประกาศเช่นนั้นอยู่หรือไม่ โดยเพิ่มงบประมาณจากที่รัฐบาลตั้งไว้เดิม 300 ล้านบาท เป็น 1 หมื่นล้านบาท เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบรวดเร็วขึ้น ส่วนการเปลี่ยนที่ ส.ป.ก. เป็นโฉนด ต้องกำหนดคุณสมบัติว่าบุคคลที่ใช้ประโยชน์ต้องมีทรัพย์สินไม่เกิน 10 ล้านบาท และเปลี่ยนได้ไม่เกิน50 ไร่ เพื่อป้องกันนายทุนเข้ามาครอบครอง
2.หนี้สิน หากชำระไปแล้วครึ่งหนึ่งรัฐจะรับผิดชอบอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ แต่หากไม่มีเงินสามารถขอเช่าที่ดินระยะยาวเพื่อปลูกไม้มีค่าสามารถใช้ชำระหนี้ได้ เมื่อหมดสัญญาเช่าประชาชนจะได้ทั้งที่ดินและยังได้ต้นไม้คืนมาครึ่งหนึ่ง หรือแม้แต่ไม่มีอะไรเลย ขอแค่มีบ้านอยู่รัฐขอใช้พื้นที่หลังคาบ้านติดระบบพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) รัฐขอแบ่งครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งประชาชนใช้ชำระหนี้ และ 3.แหล่งน้ำ เพื่อให้เปลี่ยนไปปลูกพืชที่ไม่ต้องใช้น้ำมากแต่สามารถควบคุมน้ำได้ ขอให้ได้ขนาด 1,000 ลูกบาศก์เมตรอัตราการลงทุนคือ 25,000 บาท
“เรายังต้องส่งเสริมการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นสุราก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูปเป็นสมุนไพร แปรรูปเป็นอาหารต่างๆ รวมถึงเรื่องมาตรฐาน พรรคก้าวไกลเรามีนโยบายชัดเจนในการสนับสนุนงบประมาณการตรวจรับรองไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน GAP มาตรฐาน Organic มาตรฐาน GMP และมาตรฐาน Halal เพื่อให้การตรวจรับรองมาตรฐานครอบคลุมทั่วถึง แต่ความครอบคลุมอย่างเดียวไม่อาจตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัย เราจำเป็นต้องเข้มงวดและจริงจัง ทำให้มาตรฐานของเราน่าเชื่อถึงทั้งในประเทศและต่างประเทศ” เดชรัต กล่าว
ศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทยกล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยให้ความสำคัญกับนโยบาย “รู้ราคาก่อนปลูก-รับเงินก่อนขาย-เสียหายมีประกัน” ซึ่งเคยสำรวจความคิดเห็นจากเกษตรกรทั่วประเทศมาแล้วและส่วนใหญ่เห็นด้วย โดยพรรคไม่สนับสนุนการใช้งบประมาณเข้าแทรกแซงเกินความจำเป็น ขณะเดียวกันก็ต้องมี “การบริหารจัดการระบบชลประทานที่ดี” เช่น ทำฝายกักเก็บน้ำ เนื่องจากเกษตรกรจำนวนมากยังอยู่นอกพื้นที่ชลประทาน
ปัญหาอีกประการหนึ่งคือ “ขาดความเข้าใจการทำเกษตรที่เหมาะสม” โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย เช่นเดียวกับปัญหา “ปัจจัยการผลิต” ไม่ว่าจะเป็นพลังงานหรือวัตถุดิบ เช่น อาหารสัตว์ ปุ๋ย ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เรื่องนี้ต้องปรับทัศนคติ โดยปัจจุบันมีการทำเกษตรอินทรีย์ซึ่งสามารถทำปุ๋ยเองได้ทั้งหมด ส่วนเรื่องของ “สารพิษตกค้าง” ที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยประกาศจุดยืนแบนสารเคมี 3 ชนิดมาแล้ว และระยะต่อไปคือจะมียุทธศาสตร์ลดการใช้สารเคมีเกษตรลงร้อยละ 50 และเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ ร้อยละ 200 ภายใน 4 ปี
“วันนี้ต้องยอมรับว่าเอาเข้าจริงๆ กระบวนการสนับสนุนภาครัฐเอง หรือตัวผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ก็เอาตัวรอดได้เรื่องการโลจิสติกส์ เกษตรกรรายย่อยก็ไม่มีกำลังที่จะส่งสินค้าเข้าไปยังตลาดได้เพราะไม่มีความสามารถ ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ การไม่รู้ ความรู้เรื่องการศึกษา การสนับสนุนเรื่องการเกษตร สิ่งเหล่านี้มันเป็นปัญหานอกเมืองกับในเมืองความรู้ต่างกัน คนอยู่ในถิ่นทุรกันดารก็มีปัญหาอีกอย่าง ในภาพรวมก็ยังเป็นปัญหาในการทำการเกษตร ผมสำรวจในพื้นที่เกษตรหลายที่แล้วมีความรู้สึกว่าเราต้องสร้างเกษตรกรรายใหม่ๆ ขึ้นมา” ศุภชัย กล่าว
อลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เปิดนโยบายเกษตรกรรมยั่งยืนและตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหาร อาทิ “ส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน” เป็นเกษตรอินทรีย์ 2 ล้านไร่ เกษตรคาร์บอนต่ำลดโลกร้อน “สนับสนุนความมั่นคงทางอาหาร” ทั้งปริมาณ คุณภาพและโภชนาการ “ขับเคลื่อนอาหารปลอดภัย” ครัวไทยครัวโลก “ส่งเสริมอาหารแห่งอนาคต” เช่น โปรตีนจากพืช โปรตีนจากแมลง ที่องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประกาศเป็นโปรตีนแห่งอนาคต
“ส่งเสริมพืชเศรษฐกิจปลอดภัยท้องถิ่นกินได้” เช่น สาหร่าย ผลัม แหนแดง รวมถึงส่งเสริมอาหารฮาลาล ลดใช้ปุ๋ยเคมี ตั้งศูนย์ปุ๋ยสั่งตัด “คุ้มครองสิทธิเกษตรกร” ในการเจรจาเขตการค้าเสรีหรือความตกลงต่างๆ กับต่างประเทศเพราะต้องคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศไทย “ขยายภาคีเครือข่าย” ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคเกษตรกร ซึ่งที่ผ่านมามีการจัดตั้งคณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนลงไปถึงระดับตำบล แม้กระทั่งการแสวงหาความร่วมมือกับวัดและสถาบันการศึกษา เป็นต้น
“เราจัดตั้งศูนย์เกษตรนวัตกรรมและเครื่องจักรกลครบทั้ง 77 จังหวัดมาตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2563 ถ้าเราไม่มีเทคโนโลยี ไม่เอาศาสตร์พระราชา ไม่เอาภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ามาสู่การพัฒนาระดับพื้นที่ จังหวัดใครจังหวัดมัน ยาก! วันนี้เราทำแล้ว 800 กว่านวัตกรรม ถ่ายทอดไปแล้วกว่าหมื่นฟาร์ม สุดท้ายคือเติมทุนเกษตรอินทรีย์แปลงใหญ่3 ล้าน 1 หมื่นแปลง ถ้าเรายังเป็นเกษตรรายย่อยไม่มีทาง เราต้องสร้างแปลงใหญ่ขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นฐานรากใหม่ เสาเข็มตัวใหม่ของประเทศ” อลงกรณ์ กล่าว
นิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนากล่าวว่า งบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ที่จัดให้กับภาคการเกษตรนั้นยังน้อยเกินไป ควรได้เพิ่มมากกว่านี้ อีกทั้งการที่มีจำนวนถนนมากกว่าคลองส่งน้ำ ก็น่าคิดว่าเป็นการพัฒนาด้านคมนาคมมากเกินไปหรือไม่ ถนนที่สร้างนั้นเกษตรกรหรือคนส่วนใหญ่ได้ใช้อย่างไรบ้าง มีการเจาะน้ำบาดาลเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแหล่งน้ำ ควรขยายเขตไฟฟ้าเพื่อการเกษตร
นอกจากนั้น “ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าเกษตร (เช่น มาตรฐาน GAP) ควรเป็นความรับผิดชอบของรัฐ” ไม่ใช่ให้เอกชนรับไปดำเนินการเพราะเป็นการไปเพิ่มรายจ่ายของเกษตรกร รวมถึง “เกษตรกรต้องขายคาร์บอนเครดิตได้” ซึ่งตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ส่วนอาหารปลอดภัยไทยอยู่พร้อมแล้วแต่ขาดการบริหารจัดการ
“ภาคเกษตรอีกสักพักถ้ายุโรปคลายตัวเขาจะตัดเราเรื่องมีเทน ตอนนี้เขายังไม่ชาร์จเพราะข้าวสาลีเข้ามีปัญหา ดังนั้นเราประสานไว้ก่อนเลย การขายคาร์บอนเครดิต ที่เราเสนอว่าเกษตรกรทำนาผลิต Footprint ด้วย นาเปียกสลับแห้งที่เราทดลองแล้ว สวนยางเองก็จะได้แล้ว เรื่องนี้เผื่อแผ่ไปถึงคนสูงอายุ คนสูงอายุที่เป็นเกษตรกรจะได้รายได้อย่างไร เราปลูกต้นไม้ ถ้าเขามีต้นไม้ในที่ของเขาดูแล ทุกต้นที่เป็นไม้ยืนต้นคุณจะได้คาร์บอนเครดิต มันลงทุนประมาณหมื่นล้านเราจะได้แสนล้านต่อปี”นิกร กล่าว
มนตรี บุญจรัส รองโฆษกพรรคประชาชาติกล่าวว่า การแก้ปัญหาเกษตรกรต้องแก้ปัญหาการถือครองที่ดิน เช่น เรียกคืนที่ ส.ป.ก. ซึ่งมีกรณีไปพบว่าผู้ครอบครองไม่ใช่เกษตรกร ใช้กลไกภาษีเพื่อจำกัดการถือครองที่ดินสำหรับการใช้งานประเภทต่างๆ เช่น ภาคเกษตรไม่เกิน 50 ไร่ภาคอุตสาหกรรมไม่เกิน 10 ไร่ พาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยไม่เกิน 5 ไร่ เพราะที่ดินมีจำกัดแต่ประชากรมีจำนวนเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น ประเทศไทยมีแหล่งโปแตสเซียมซึ่งเป็นวัตถุดิบผลิตปุ๋ย จะทำอย่างไรให้นำมาใช้ได้ในรูปแบบวิสาหกิจชุมชนหรือสหกรณ์ เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งระยะหลังๆ ประเทศที่เคยผลิตปุ๋ยส่งออกลดหรือหยุดส่งออกเพราะต้องเก็บไว้ใช้ในประเทศ รวมถึงสนับสนุนการคัดแยกขยะที่ส่วนหนึ่งนำไปทำก๊าซมีเทนขณะที่อีกส่วนไปทำปุ๋ยอินทรีย์ และการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรอินทรีย์จะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่หักดิบ อีกด้านหนึ่งก็ต้องแก้ไขกฎหมาย แยกสารชีวภัณฑ์ออกจากวัตถุอันตราย
“ไปเยี่ยมชาวนาชาวไร่มีหนี้สินทุกครัวเรือนและไม่มีที่ดินทำกินถึง 1.1 ล้านราย มีคำถามว่าแล้วเรื่องที่ดินจะไปทะเลาะกับเขาไหม? เมื่อเราเป็นรัฐบาลและฝ่ายประชาธิปไตยที่มีเสียงส่วนใหญ่ เชื่อว่ามีอุดมการณ์เหมือนเรา เรื่องที่ดินเราคิดว่าค่อยๆ ลด เชื่อไหมว่า 99% ของคนที่ครอบครองที่ดิน ครอบครอง 1-3 ไร่ แต่ 1% ครองพื้นที่ตั้งแต่ร้อยจนถึงพัน-หมื่น-แสนไร่มี 1% เท่านั้นเอง ฉะนั้นการขอเก็บภาษีเพิ่มแล้วค่อยๆ แบ่งคายออกมา แสนไร่หมื่นไร่มันมากไป คุณแบ่งให้คนที่ไม่มีจะกิน” มนตรี กล่าว
อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้าไม่สนับสนุนการแก้ปัญหาแบบประชานิยม แต่ส่งเสริมโอกาสนิยม “จุดตั้งต้นอยู่ที่เกษตรแปรรูป” เพราะเกษตรแปรรูปจะควบคุมทุกอย่างในตัวเอง เช่น การแปรรูปสตรอว์เบอร์รี่ให้เป็นแยม ต้องควบคุมความหวาน การใช้ปุ๋ยหรือสารกำจัดศัตรูพืชบางครั้งแทบจะต้องระบุแม้กระทั่งยี่ห้อที่ควรใช้ ขณะเดียวกันก็ต้องสนับสนุนบทบาทของสหกรณ์ โดยเฉพาะ “การนำสหกรณ์เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์” เรื่องนี้มีตัวอย่างที่ประเทศนิวซีแลนด์
ที่นั่นมีการรวมสหกรณ์กิจการนมนับร้อยแห่งเพื่อจดทะเบียนเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ จนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าประเภทนม-เนย ซึ่งหากทำได้เกษตรกรไทยจะไม่ได้ขายวัตถุดิบอีกต่อไป แต่เปลี่ยนเป็นการขายสินค้าแปรรูป อนึ่ง ประเทศในโลกแบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งบริโภคกับฝั่งผลิต ซึ่งฝั่งบริโภคนั้นคือโลกตะวันตก (ยุโรป-สหรัฐอเมริกา) มักตั้งเงื่อนไขต่างๆ เพื่อกีดกันการนำเข้าสินค้า ขณะที่ฝั่งผลิต จีนที่เป็นรายใหญ่ถึงกับไปหาซื้อวัตถุดิบทางการเกษตรกับเกษตรกรไทย เกษตรไทยจึงแทบไม่มีการแปรรูป และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เกษตรกรไทยยากจน
“ทำอย่างไรให้มีอำนาจต่อรอง ถ้าเป็นสมัยก่อนบอกตั้งสหกรณ์รวมกลุ่ม แต่วันนี้ไม่ได้แล้ว มันโบราณ กฎหมายสหกรณ์เอาไว้กู้อย่างเดียวเท่านั้นเอง ก็ต้องจับสหกรณ์รวบเลยแล้วไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ท่านจะเห็นวิธีการแบบนี้คือสู้กับการแข่งขัน ไม่ต้องเชื่อว่ารัฐบาลจะเก่ง มาตรฐานสินค้าเกษตร Q เคยทำได้ไหม? มันไม่มีทางทำได้เพราะผู้บริโภคกันตลอดเวลาแล้วเปลี่ยนวิธีคิดตลอดเวลา ท่านต้องรวมกลุ่มให้เข้มแข็งที่สุดแล้วสร้างมาตรฐานมากที่สุด เพราะไทยเป็นผู้ผลิตยาง ผลิตข้าวอันดับ 1 ของโลก มาตรฐานต้องอยู่ที่เราไม่ใช่อยู่ที่เขา” อรรถวิชช์ กล่าว
พงศา ชูแนม หัวหน้าพรรคกรีน เสนอนโยบายใช้ต้นไม้แก้ทั้งปัญหาความยากจนของเกษตรกรและปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น “ธนาคารต้นไม้” ซึ่งตนเองเป็นหนึ่งในผู้ที่ผลักดันมานานจนมีการแก้ไขกฎหมายอนุญาตให้ประชาชนปลูกไม้มีค่าที่ในอดีตเป็นไม้หวงห้ามมาตั้งแต่ปี 2484 ทำให้ประชาชนใช้ต้นไม้เหล่านี้เป็นสินทรัพย์ได้ นอกจากนั้นยังมี “หวยต้นไม้” เมื่อไม้มีค่าทุกต้นมีการระบุหมายเลข 15 หลัก คนที่ปลูกก็สามารถรอลุ้นโชคได้ “โรงรับจำนำต้นไม้” กรณีผู้ปลูกมีเหตุฉุกเฉินต้องรีบใช้เงิน
“ถ้าไม้ปลูกมากถามว่าจะเอาไปไหน? เอาไปเผา! เผาธรรมดาก็ได้ถ่านขายได้ แต่เอาไปเผาทำโรงไฟฟ้าชีวมวล ผมเชื่อว่าโรงไฟฟ้าชีวมวลจากไม้คือทางออก เพราะประชาชนจะเปลี่ยนรูปแบบการเกษตรจากการปลูกพืชอาหารที่เราผลิตเกินจนต้องเอาไปทำเหล้า เอาไปเผา เอาไปให้สุนัขให้ปลากิน ถ้าทำโรงไฟฟ้าชีวมวลจากไม้ และต้องราคาไม้ที่เป็นธรรม เทียบกับค่าความร้อนก็ประมาณกิโลละ 6 บาท”หัวหน้าพรรคกรีน กล่าว
น.สพ.ชัย วัชรงค์ คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ประกาศพอกันทีกับพืชเกษตรที่ผลิตล้นเกินแล้วต้องมาอุดหนุนทุกปี ซึ่งในบรรดาพืชเศรษฐกิจหลัก “ข้าว” มีปัญหานี้มากที่สุด โดยพื้นที่เกษตร 140 ล้านไร่ ถูกใช้ปลูกข้าวไปแล้วร้อยละ 40 หรือกว่า 60 ล้านไร่ แต่ใช้บริโภคภายในประเทศจริงๆ เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ที่เหลือต้องส่งออกและตลาดก็มักไม่ค่อยดีจึงจะ “ส่งเสริมให้ชาวนาหันไปผลิตสินค้าเกษตรอื่นตามความต้องการของตลาด” ซึ่งจะมีรายได้ดีกว่า เป็นโครงการภาคสมัครใจที่รัฐจะมีงบประมาณอุดหนุนในช่วงเปลี่ยนผ่าน
เช่น “ข้าวโพด” ที่ปัจจุบันไทยต้องนำเข้าปีละ 3 ล้านตัน แนวคิดของพรรคเพื่อไทยคือต้องการให้มีพื้นที่ผลิตข้าวโพด 3 ล้านไร่ มีราคาประกันนำร่อง แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามเผา เก็บเกี่ยวแล้วต้องไถกลบเท่านั้น หรือ “ถั่วเหลือง” ที่แต่ละปีต้องนำเข้า 4.5 ล้านตัน หากจะปลูกชดเชยต้องใช้พื้นที่ 10 ล้านไร่ ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยสนับสนุน “เกษตรแปลงใหญ่” มองเป็นทางออกในการแก้ปัญหาทั้งมลพิษทางอากาศและสารพิษตกค้างในผลผลิต
“ถ้าเป็นแปลงใหญ่แล้วเรื่องของการใช้สารพิษมันจะหลีกเลี่ยงได้ เหมือนกับฟาร์มเลี้ยงปศุสัตว์ ฟาร์มเล็กๆ ฉีดยากันระเบิดระเบ้อเลย ฉีดกันวันสุดท้ายก่อนจะส่งขาย แต่ฟาร์มใหญ่เขาไม่ทำกัน เขาใช้วิธีบริหารจัดการโรงเรือน บริหารจัดการวิธีการปฏิบัติต่างๆ ในฟาร์ม มันจะลดการใช้สารพิษลงไป รวมทั้งการเผาด้วย ถ้าเป็นแปลงเล็กแปลงน้อยไม่มีปัญญาไปหาเครื่องจักรกลมาไถกลบ แต่แปลงใหญ่นี่ไถกลบได้อเมริกาตอนกลางประเทศปลูกข้าวโพดเป็นล้านๆ ไร่ ไม่เคยมีการเผา เพราะมันเป็นแปลงใหญ่ไถกลบได้” น.สพ.ชัย กล่าว
ณัฐพร อาจหาญ ตัวแทนพรรคสามัญชนย้ำความสำคัญของการแก้ปัญหาการเข้าไม่ถึงสิทธิในที่ดิน ซึ่งทำให้ความมั่นคงในอาชีพของเกษตรกรโดยเฉพาะรายย่อยแทบจะเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะมีการปรับปรุงรูปแบบการผลิตอย่างไรผู้ได้ประโยชน์ก็ยังเป็นทุนขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันเป็นสิทธิของคนในประเทศที่ต้องได้รับการคุ้มครองในการเข้าถึงอาหารปลอดภัย ไม่ใช่คนในประเทศยังต้องบริโภคผลผลิตทางการเกษตรที่นำเข้ามาซึ่งมีสารพิษตกค้างในขณะที่สามารถส่งออกผลผลิตที่มีคุณภาพไปขายยังต่างประเทศ
อีกด้านหนึ่ง หลายพรรคการเมืองมีนโยบายแสวงหาปัจจัยการผลิต ซึ่งด้านหนึ่งเป็นมองการพัฒนาภาคเกษตรในภาพรวมแต่อีกด้านหนึ่งก็อาจส่งผลกระทบในระดับพื้นที่ เช่น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) มีแนวคิดผันน้ำโขง-เลย-ชี-มูล ดึงน้ำจากแม่น้ำโขงมาใช้ทำการเกษตร คำถามคือสอดคล้องกับระบบนิเวศของภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือไม่ หรือใต้ผืนดินบริเวณนั้นเต็มไปด้วยแร่โปแตชซึ่งมีแนวคิดจะขุดขึ้นมาผลิตปุ๋ย แต่การทำเหมืองแร่ที่เทคโนโลยียังไม่ดีเพียงพอ ผลคือมีของเสียออกสู่ภายนอก เกิดปัญหาน้ำเค็มทำลายพื้นที่เกษตรโดยรอบ
“อีกเรื่องคือคาร์บอนเครดิต มันดูน่าสนใจ ต้นทางก็คงพูดถึงจากปัญหาโลกร้อน ในขณะที่ประเทศใหญ่ ประเทศร่ำรวยซึ่งเป็นต้นเหตุ เป็นผู้ปลดปล่อยคาร์บอนสูง ไม่ยอมลดต้นเหตุการใช้คาร์บอน แต่กลับเลือกวิธีมาสร้างกลไกคาร์บอนเครดิต แล้วใช้ประเทศโลกที่ 3 หรือประเทศยากจนเป็นพื้นที่ในการขายคาร์บอนเครดิต มันก็คงฟังดูดีปลูกต้นไม้แล้วได้เงิน ย้อนกลับไปเรื่องปัญหาที่ดิน ตราบใดที่มันมีความซับซ้อนเรื่องที่ดินยังไม่มีความชัดเจน คำถามกลับมาแล้วใครจะมีกรรมสิทธิ์ในการปลูกและได้ผลประโยชน์จากตรงนั้น” ณัฐพร กล่าว
บุรินทร์ สุขพิศาล กรรมการจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงนโยบาย “เติมทุน 3 หมื่นบาทต่อครัวเรือน” ที่ไม่ใช่การแจกแต่เป็นการให้แบบมีเงื่อนไข เพราะเป้าหมายที่ต้องการเห็นคือการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น หลายพรรคพูดถึงการนำเทคโนโลยีมาช่วย แต่เกษตรกรยากจะเข้าถึงเพราะรายได้น้อยและมีหนี้สิน หรือนโยบาย “ศูนย์จักรกลเกษตรอัจฉริยะประจำจังหวัด” หรือบางพื้นที่ลงไปถึงระดับอำเภอ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า คนทำเกษตรศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองผ่านอินเตอร์เนตไม่ใช่การได้รับข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
“เคยให้นักศึกษาไปสำรวจ ปรากฏไม่มีใครเลยที่ได้รับความรู้จากหน่วยงานราชการไปทำในสิ่งเหล่านี้ จึงต้องนำมาซึ่งการปฏิรูประบบราชการ แล้วสิ่งเหล่านี้หน่วยที่ต้องไปทำคือ อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) เงินจะต้องลงไปที่ อบจ. ไม่ใช่ที่กระทรวง เพราะเรามองว่า อบจ. ต้องทำให้พี่น้องในพื้นที่เขา ต้องหาเสียงของเขา ดังนั้นเขาจะทำเต็มที่ บางส่วนอาจไปอยู่ อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) ตามความเหมาะสม” บุรินทร์ กล่าว
ศรัณยู คงสวัสดิ์เกียรติ รองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ในช่วงปี 2562-2564 มีการใช้งบประมาณอุดหนุนสินค้าเกษตรเฉลี่ย 1 แสนล้านบาทต่อปี เงินส่วนนี้หากนำมาใช้วิจัยและพัฒนา เช่น ทำให้พันธุ์พืชทนต่อดินฟ้าอากาศ ทนต่อศัตรูพืช หรือทำให้พืชสอดคล้องกับดิน การนำเทคโนโลยีชีวภาพเข้ามาเร่งปฏิกิริยาเพื่อเพิ่มผลผลิตในเชิงพาณิชย์ ส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มมูลค่าและลดการใช้สารเคมี
“อนาคตสินค้าเกษตรของไทยต้องมีมาตรฐานที่ออกสู่เวทีโลกได้อย่างภาคภูมิ จะไปในลักษณะของตราสินค้าที่เราจะผลักดัน สมมุติ Original Thai ใครที่มองเห็นตรานี้ก็จะมั่นใจได้ทันทีว่าสินค้าที่ท่านกำลังจะซื้อหรือบริโภคนั้นเป็นสินค้าที่มาจากไทย มั่นใจได้ว่า 100% ไม่มีสารพิษตกค้าง” รองโฆษกพรรคไทยสร้างไทยกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี