เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวเชียงใหม่ที่ห้ามพลาด นั้นคือ “ไร่ชาลุงเดช” และต้องบอกอีกว่าภายในพื้นที่ไร่ชาลุงเดชเขียวขจีและปกคลุมไปด้วยพื้นที่สีเขียว มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเรื่อยๆ บ้างก็มาพักค้างคืนดื่มด่ำบรรยากาศ คืนละ 800 บาท และนักท่องเที่ยวที่มานั่งดื่มชา ทานขนมเค้ก และอาหารอื่นๆ มาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศ ถือเป็นการตอบรับที่ดีของไร่ชา และหากใครจะมาเที่ยวก็สามารถมาได้ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน หรือช่วงอากาศหนาว และถ้ามาในช่วงหน้าฝนก็จะสวยไปอีกแบบจะมีหมอกปกคลุมภูเขาสวยงามมากๆ 

“นายเดช รังสี” หรือ "ลุงเดช" เจ้าของไร่ชาลุงเดช ได้พาเดินชมไร่ชาและสาธิตการเก็บชาให้ดู และเผยเคล็ดลับการเก็บยอดชาที่มีคุณภาพดีนั้น ต้องเก็บยอดที่มี 3 ใบ ถึงจะทำให้ชามีรสชาติที่ดี “โครงการหลวง” เริ่มเข้าส่งเสริมการปลูกชามาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2539 มีเป้าหมายเพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรบนพื้นที่สูง ด้วยการดำเนินงานที่ครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งได้แก่ การพัฒนาและส่งเสริมการปลูกชาที่ได้รับรองมาตรฐานทั้ง GAP และเกษตรอินทรีย์ การแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ชา ตลอดจนการจัดการตลาดชาเพื่อสร้างรายได้คืนสู่เกษตรกร

ด้าน นายอภิสิทธิ์ อุ่นพินิจ หัวหน้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงม่อนเงาะ เล่าให้ฟังว่า ผลงานวิจัยที่สำคัญ ได้แก่ การคัดเลือกกลุ่มพันธุ์ชาจีนที่เหมาะสมกับพื้นที่สูง ซึ่งเป็นพันธุ์ที่เกษตรกรปลูกในปัจจุบัน และการพัฒนากระบวนการแปรรูปชาชนิดต่างๆ

โดยเฉพาะการพัฒนาการแปรรูปเพื่อแก้ไขปัญหา “ชาอัสสัม” หรือ “ชาป่า” ซึ่งเป็นชาพื้นเมืองที่มีราคาตกต่ำจากการจำหน่ายเป็นเมี่ยงหมัก จากการวิจัยทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ชาเขียวอัสสัมแบบอบไอน้ำ ที่สามารถสร้างจุดเด่น และความแปลกใหม่ของชาอัสสัมให้มีคุณค่ามากขึ้น ส่งผลให้ผืนป่าได้รับการอนุรักษ์ จากการปลูกชาร่วมกับป่า

“ปัจจุบันโครงการหลวงส่งเสริมเกษตรกรปลูกชาจำนวนกว่า 200 ราย พื้นที่ 680 ไร่ ใน 10 ศูนย์/สถานี ชาของเกษตรกรโครงการหลวงได้ถูกนำมาวิจัยและพัฒนาเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จำหน่ายหลากหลายประเภทกว่า 5 ชนิด อาทิ ชาขาว ชาเขียว ชาอู่หลง ชาแดง และชาดำ และแปลงชาของลุงเดชก็เป็นแปลงของเกษตรอีกหนึ่งตัวอย่างที่ได้ปลูกชาของโครงการหลวงมาตั้งแต่แรกเริ่ม” หัวหน้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงม่อนเงาะ กล่าว.-008