เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จัดบรรยาย (ออนไลน์) เรื่อง “Celebrity Politics แม่ยกผลัดยุค : Political Fandom กับปรากฏการณ์การเมืองไทย” โดยผู้บรรยายคือ พลอยกมล สุวรรณทวิทย์ นักศึกษาปริญญาเอก Department of Communication and Media, School of Arts มหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ เล่าว่า สมัยที่ยังเรียนที่คณะรัฐศาสตร์ มธ. มีอาจารย์ท่านหนึ่งได้ฉายภาพให้เห็น “การศึกษาเกี่ยวกับตัวแสดงที่เป็นปัจเจกบุคคล (Individual)” จุดประกายความสนใจเรื่อง“การสื่อสารทางการเมือง (Political Communication)” จึงมาเรียนต่อที่ ม.ลิเวอร์พูล เพราะมีเปิดสอนด้านนี้ โดยเฉพาะ
“วิชานี้จะศึกษาในแง่ของการสื่อสารระหว่างประชาชน ระหว่างรัฐ หรือแม้แต่ตัวสื่อมวลชน มีบทบาทอย่างไรในการเล่นการเมืองหรือทำกิจกรรมทางการเมือง หรือแม้กระทั่งนักข่าว การเขียนข่าวมันมี Agenda (วาระ) อย่างไร ซึ่งเราเรียนไปถึงการดูถึงรูปถ่าย ภาพยนตร์ วีดีโอ หรือแม้แต่คำพูดที่อยู่บนหน้า Headline (พาดหัว)” พลอยกมล อธิบายถึงเนื้อหาการเรียนในวิชาการสื่อสารกับการเมือง
ความสนใจเรื่อง “การเมืองกับความนิยมส่วนตัวของปัจเจกบุคคล” เกิดขึ้นในโลกตะวันตกจากความสำเร็จของ โรนัลด์ เรแกน (Ronald Reagan) ที่ก่อนจะขึ้นสู่จุดสูงสุดในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานั้นเขาเคยเป็นนักแสดงฮอลลีวู้ดมาก่อน เช่นเดียวกับนักแสดงที่โด่งดังจากบท “คนเหล็ก” หุ่นยนต์จักรกลสังหารอย่าง
อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) ที่ต่อมาชนะการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ จุดกระแสให้แวดวงวิชาการหันมาศึกษาที่มาที่ไปของปรากฏการณ์นี้อย่างจริงจัง โดยสามารถอธิบายได้จาก 4 ปัจจัย
1.ผู้คนรู้สึกยึดโยงกับพรรคการเมืองน้อยลง (Party De-Alignment) คนไม่ได้เลือกพรรคการเมืองด้วยนโยบายที่พรรคใช้หาเสียงอีกต่อไป 2.การหาเสียงโดยเน้นชูตัวบุคคล (Rise of Personalization) เมื่อการหาเสียงโดยเน้นนโยบายของพรรคการเมืองใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปนักวางกลยุทธ์การหาเสียงจึงหันมาขับเน้นตัวบุคคลที่พรรคยกให้เป็นตัวชูโรง ว่ามีประวัติความเป็นมาในชีวิตอย่างไร และทำไมประชาชนสมควรลงคะแนนเสียงให้
3.ผู้คนเบื่อหน่ายการเมืองแบบเดิมๆ (Anti-Politics) มองว่านักการเมืองแบบเก่าห่างเหินจากประชาชน เข้าถึงได้ยาก ประชาชนจึงมองว่าพรรคการเมืองไม่ได้ช่วยอะไรและไม่สนใจนโยบายที่พรรคนำเสนอ จึงต้องสร้างตัวบุคคลที่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าสามารถเข้าถึงได้ง่าย และ 4.การเกิดขึ้นของสื่อสังคมออนไลน์ (Social media) ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลมากในระยะหลังๆ เพราะนอกจากจะประหยัดค่าใช้จ่ายแล้วยังทำให้นักการเมืองสามารถสื่อสารกับประชาชนได้โดยตรงและสื่อสารได้แทบจะตลอดเวลา ไม่ต้องรอสื่อสารผ่านสื่อมวลชนตามโอกาสวาระต่างๆ อย่างในอดีต
อีกด้านหนึ่ง “หากมองการเมืองเป็นการแสดง และนักการเมืองคือดารา-คนดัง (Celebrity หรือ Pop Star) การที่ประชาชนจะกลายเป็นแฟนดอม (Fandom)
ก็เป็นเรื่องที่อธิบายได้” และจะว่าไป “เรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งใหม่ของสังคมไทย” ที่มีวัฒนธรรม “แม่ยก” มานานแล้ว เช่น นักการเมืองแบบ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในสายตาแม่ยกจะมองว่าเป็น “หนุ่มหล่อ-นักเรียนนอก” ซึ่งการที่คนมองนักกาเรมืองในแง่ตัวบุคคลมากกว่าในแง่นโยบายหรือประเด็นทางการเมือง ก็เข้าข่ายความสนใจการเมืองแบบสนใจดารา (Celebrity Politics) แล้ว
ทั้งนี้ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “การเมืองเรื่องแฟนดอม หมายถึงการเมืองที่เป็นความนิยมชมชอบในตัวนักการเมืองในเชิงปัจเจกบุคคล (ไม่ใช่พรรคการเมือง)” โดยหากเป็นการเมืองที่เป็นความนิยมในพรรคการเมืองก็จะใช้คำว่าผู้สนับสนุนพรรค และการศึกษาการเมือง 2 ประเภทนี้ก็จะแตกต่างกัน อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า การเมืองแบบแฟนดอมทำให้ผู้สนใจการเมือง (โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่) สามารถรวมตัวเคลื่อนไหวภายใต้ความชอบในตัวนักการเมืองคนใดคนหนึ่งโดยไม่ต้องอาศัยบทบาทของพรรคการเมือง
พลอยกมล ยกตัวอย่างในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ กรณีของ เอ็ดเวิร์ด มิลิแบนด์ (Edward Miliband) หัวหน้าพรรคแรงงาน ช่วงปี 2553-2558 ซึ่งในการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2558 มีกลุ่มวัยรุ่นหญิงอายุตั้งแต่ 17-19 ปี ตั้งกลุ่มแฟนดอม ใช้ทวิตเตอร์แสดงออกสนับสนุนมิลิแบนด์ เพื่อตอบโต้สื่อกระแสหลักที่มักเสนอ
ข่าวในแง่ลบของนักการเมืองผู้นี้ หรือกรณีของ เจเรมี คอร์บิน (Jeremy Corbyn) นักการเมืองแนวซ้ายจัดที่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแรงงานต่อจากมิลิแบนด์และถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเหมาะสม ก็มีกลุ่มแฟนดอมคอยสนับสนุนคอร์บินเช่นกัน,
เกาหลีใต้ มีกรณีของ มูนแจอิน (Moon Jae-in) อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ก็มีกลุ่มแฟนดอมคอยสนับสนุนการสื่อสารและการทำกิจกรรมต่างๆ, สหรัฐอเมริกากรณีที่ได้รับความสนใจมากที่สุดหนีไม่พ้นอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่ต้องบอกว่า “ไปสุดทาง” อย่างมาก เพราะแฟนดอมของทรัมป์นั้นกล้าทำขนาดรวมตัวกันบุกอาคารรัฐสภา
กลับมาที่ประเทศไทย กรณีที่น่าสนใจคือ ปรากฏการณ์ “ฟ้ารักพ่อ” ในการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2562 นักการเมืองหน้าใหม่อย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคการเมืองเกิดใหม่อย่าง พรรคอนาคตใหม่ ได้รับเสียงสนับสนุนมาเป็นอันดับ 3 และเมื่อพรรคถูกยุบก็ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะนักเรียน-นักศึกษาที่เป็นคนรุ่นใหม่ลงถนนชุมนุมประท้วง จาก 3 ปัจจัย 1.ความมีเสน่ห์เฉพาะตัว (Charismatic) ของนักการเมือง โดย ธนาธร มีบุคลิกบางอย่างที่สามารถโน้มน้าวจิตใจให้คนกลุ่มนี้สนใจการเมือง มองว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวและลงมือขับเคลื่อน
2.ชุมชนออนไลน์ที่แข็งแรงให้ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันเมื่อแต่ละคนตัดสินใจออกมาเคลื่อนไหวแบบออฟไลน์ ซึ่งนอกจากความชื่นชอบในตัวของ ธนาธร แล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ยังสนใจประเด็นการเมืองในเรื่องเดียวกัน การออกไปเคลื่อนไหวในโลกจริงจึงไม่ต่างอะไรกับการไปเจอเพื่อนฝูงคอเดียวกันทั้งที่อาจไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และ 3.มองว่าการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะรัฐบาลในเวลานั้นเมินเฉย และมองว่าการเคลื่อนไหวทั้งออนไลน์และออฟไลน์ต้องเกิดขึ้นไปด้วยกัน
ข้อสังเกตประการต่อมา “แฟนดอมของธนาธร มีความคล้ายกับแฟนดอมของศิลปินจากเกาหลีใต้” ซึ่งสะท้อนภาพคนกลุ่มนี้เติบโตมากับวัฒนธรรม “เค-ป๊อป
(K-Pop)” อีกทั้งมองว่าเป็น “พื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone)” จากความรู้สึกเรื่องข้อจำกัดต่างๆ ในการแสดงออกขณะเดียวกันยังเป็นความแตกต่างกับการเมืองในโลกตะวันตกเช่น อังกฤษ ที่พรรคการเมืองใหญ่ๆ อย่างพรรคแรงงานหรือพรรคอนุรักษ์นิยม จะลงไปตั้งชมรมของพรรคถึงในสถาบันการศึกษา เป็นพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง
“อะไรคือความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมแม่ยกแบบเดิมกับแฟนดอมแบบใหม่?” พลอยกมล อธิบายว่า คือ “การใช้ถ้อยคำอุปมาอุปไมย (Metaphor) เปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างผู้สนับสนุนกับบุคคลที่สนับสนุนนั้น”เช่น การใช้คำว่า “ฟ้ารักพ่อ” ที่มาจากละคร “ดอกส้มสีทอง” มาเรียกกลุ่มคนที่สนับสนุน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในการเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งลักษณะนี้จะไม่ปรากฏในยุคสมัยก่อนหน้าโดยกลุ่มแม่ยกที่สนับสนุน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
กระทั่งการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2566 วัฒนธรรมแฟนดอมในไทยดูจะแข็งแรงขึ้นและชัดเจนในโลกจริงมากขึ้น เช่น ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ที่มีกลุ่ม “ด้อมแบงค์ 10” ตามชื่อเล่นและหมายเลขผู้สมัครของเจ้าตัว ซึ่งมีการทำกิจกรรมด้วยกัน เช่น ไปทำบุญ แต่ขณะเดียวกัน “พรรคการเมืองอื่นๆ ที่เห็นความสำเร็จของพรรคอนาคตใหม่ ก็หันมาสนใจหาเสียงและสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น” ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้วัฒนธรรมแฟนดอมขยายตัวออกไปยังนักการเมืองในพรรคอื่นๆ ด้วย
“คำถามหนึ่งที่คนไทยหรือหลายๆ คนสนใจ คือคนเหล่านี้ (แฟนดอม) จะปกป้องนักการเมืองของเขาแม้แต่วันที่เขาทำผิดไหม? ซึ่งเราเห็นบ่อยในทวิตเตอร์ ถ้านักการเมืองของคุณทำผิดคุณจะยังปกป้องเขาเหมือนที่ปกป้องศิลปินไหม? ซึ่งจากที่สัมภาษณ์ หรือในกลุ่มตัวอย่างของเราที่ไปศึกษามา อันนี้พูดในวิจัยของเรา ส่วนใหญ่แล้วเขาสามารถแยกหมวกออกได้นะว่าเขาชื่นชอบศิลปินคือศิลปิน นักการเมืองคือนักการเมือง
เพราะสุดท้ายแล้วนักการเมืองคือคนรับผิดชอบชีวิตของเขา คือเขาชอบนักการเมืองด้วยอุดมการณ์หรือด้วยอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าวันหนึ่งเขาทำผิดก็พร้อมที่จะเลิกสนับสนุน ซึ่งอันนี้เราว่ามันเป็นกลิ่นที่ดี หมายถึงว่าเป็นแนวโน้มที่ดีแล้วกันว่าคนเหล่านี้เขาไม่ได้ลืมหูลืมตาเสียทีเดียว ยังสามารถแยกออกได้ว่านักการเมืองกับศิลปินมันต่างกัน แต่เขาแค่ใช้วิธีที่แสดงออกความรักของเขากับศิลปินมาใช้กับนักการเมืองเท่านั้นเอง” พลอยกมล กล่าวทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี