“ในการเคลื่อนย้ายมันมีสิ่งที่ต้องพิจารณาอยู่ 2-3 ข้อ อันแรกเราติดว่าการเคลื่อนย้ายมันเกิดขึ้นตลอดเวลา มันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะตอนที่เราเคลื่อนอย่างเดียว ชีวิตของคนเรามันไม่ได้ผูกติดกับชาติหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง มันมีสิ่งของ ทุน ข้อมูล ความคิดที่ไหลเวียนรอบๆ เราอยู่ตลอดเวลา ที่ทำให้คนคนหนึ่งตัดสินใจว่าจะเคลื่อนหรือไม่เคลื่อนไปไหน หากเราจะพิจารณาเรื่องนี้ไม่ได้พิจารณาแค่ว่าเขาเคลื่อนอย่างเดียว แต่ให้พิจารณาของสิ่งอื่นๆ ด้วย
อันที่สอง การเคลื่อนย้ายมันยากจะนิยามมากขึ้น การศึกษาการเคลื่อนย้ายในโลกยุคใหม่มันท้าทายการที่เราจะนิยามว่าคนที่เคลื่อนเป็นใคร? เราจะบอกว่าคนคนหนึ่งคือ แรงงาน ผู้อพยพ ทหาร นักธุรกิจ แต่จริงๆ คนคนหนึ่งอาจมีหลายบทบาท หลายสถานะหรือหลายภารกิจในการเคลื่อนย้ายของเขา มันไม่สามารถขีดเส้นแบ่งว่านี่คือการเคลื่อนย้ายของแรงงานอย่างเดียว แต่อาจมีอื่นๆ ที่มันพ่วงมากับคำว่าแรงงานด้วย มันก็เลยยากจะนิยามว่าการเคลื่อนย้ายแบบนี้มันเป็นการเคลื่อนย้ายแบบไหน? ของใคร? หรือถูกผลัก-ถูกดูดโดยอะไร?”
อนุพงษ์ จันทะแจ่ม มูลนิธินวัตกรรมสร้างสรรค์สังคม (SIY) กล่าวถึง “การเคลื่อนย้ายของคนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง” ในการบรรยายหัวข้อ “คนรุ่นใหม่ การเคลื่อนย้าย และการกระจายอำนาจ” จัดโดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ซึ่งการเคลื่อนย้ายของคนนั้นมีความซับซ้อน มีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ทั้งสถานะหรือบทบาทของคนเอง และสิ่งอื่นๆ โดยรอบ เช่น โครงสร้างพื้นฐานอย่างถนน ไฟฟ้า ฯลฯ ที่ให้เคลื่อนย้ายได้และอยู่ได้
งานวิจัยของ อนุพงษ์ เลือกศึกษาประเด็น “คนรุ่นใหม่ที่ตัดสินใจเริ่มธุรกิจหรือหางานทำในต่างจังหวัดแทนที่จะเป็นเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ” จาก 3 ตัวอย่างคือ 1.ร้านหนังสือแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น เป็นคนรุ่นใหม่ที่รวมตัวกันเปิดร้านหนังสือ แต่ก่อนจะเลือกลงหลักปักฐานที่ขอนแก่น เคยไปมาแล้วหลายจังหวัด เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ แล้วพบว่าขอนแก่นมีองค์ประกอบทั้งมหาวิทยาลัย ทำเลที่ดีและมีชุมชนของคนรุ่นใหม่ จึงเห็นว่าน่าจะทำธุรกิจได้
ผู้เริ่มตั้งร้านหนังสือแห่งนี้แม้จะเป็นคนอีสาน แต่ก็ไม่ใช่ชาว จ.ขอนแก่น หากมีพื้นเพเดิมอยู่ใน จ.อุบลราชธานี และได้เข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ ด้วยเห็นว่าเป็นเมืองแห่งการแสวงหาโอกาส ความน่าสนใจคือ “ร้านหนังสือแห่งนี้ไม่ได้แยกขาดจากกรุงเทพฯ เสียทีเดียว เพราะแม้จะมีรายได้จากร้านหนังสือ แต่คนในร้านก็ยังมีรายได้จากการรับงานจากผู้ว่าจ้างในกรุงเทพฯ อยู่ด้วย เพื่อพยุงให้ร้านยังอยู่ได้” ขณะเดียวกันก็มีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับชุมชนโดยรอบร้าน ซึ่งปัจจัยเชิงโครงสร้างก็เอื้อให้เกิดสิ่งเหล่านี้
“ข้อค้นพบที่สำคัญที่ได้คุยกัน เรื่องแรกก็คือการเคลื่อนย้ายของคนกลุ่มนี้ที่มาทำร้านหนังสือไม่ได้เป็นการเคลื่อนย้ายกลับสู่บ้านเกิดหรือเป็นการย้ายถิ่นกลับ เขาไม่ได้กลับบ้านไปที่อุบลฯ ที่ทำร้านที่บ้านเกิดเขา หรือโรแมนติกว่าฉันจะกลับบ้านไปเพื่อที่จะไปทำอะไรเล็กๆ สวยๆน่ารักๆ แต่มันคือการดิ้นรนเพื่อหาโอกาสว่าจังหวัดไหนที่มันทำได้แล้วมันเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่มันจะเติบโตได้ก็เลือกที่นั่น” อนุพงษ์ ระบุ
อนุพงษ์ ขยายความเพิ่มเติมจากกลุ่มตัวอย่างร้านหนังสือแห่งนี้ว่า “นี่ไม่ใช่การย้ายถิ่นแบบหวนคืนภูมิลำเนา (Homecoming) แต่เป็นการย้ายเพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างธุรกิจให้หยั่งรากและเติบโตได้”พร้อมกับยกตัวอย่างว่าตนเองเป็นชาว จ.อุดรธานี โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่าตนคงไม่สามารถตั้งร้านหนังสือแบบเดียวกันนี้ได้ เพราะ จ.อุดรธานี ไม่มีชุมชนประเภทคิด-อ่าน-เขียน-จิบกาแฟ ในพื้นที่
2.ช่างภาพ (ไม่) อิสระ คนหนึ่งที่ไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับ จ.ยโสธร ช่างภาพผู้นี้มีพื้นเพเป็นชาว จ.ยโสธร เข้ามากรุงเทพฯ ตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม และเรียนต่อระดับอาชีวศึกษาไปจนจบ ป.ตรี หลังเรียนจบก็ไปทำงานกับองค์กรภาคประชาสังคม (NGO) แห่งหนึ่ง และมีรายได้เสริมจากการเป็นช่างภาพ แล้วก็พบว่า “การหารายได้ไม่ได้จำกัดแค่ในกรุงเทพฯ อย่างเดียว เพราะมีคนว่าจ้างให้ไปถ่ายภาพในต่างจังหวัด” ส่วนมากก็เป็นงานประเพณีต่างๆ เช่น งานบวช งานแต่งงาน งานแสดงดนตรี ฯลฯ จึงเดินทางไป-กลับ ระหว่างกรุงเทพฯ กับ จ.ยโสธร
เวลาผ่านไป ช่างภาพผู้นี้เห็นว่า “งานช่างภาพมีรายได้แทบไม่ต่างจากการประจำที่ทำอยู่ จึงตัดสินใจลาออกมาเป็นช่างภาพเต็มตัว” รับงานถ่ายภาพทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทำให้ชีวิตต้องเคลื่อนย้ายตลอดเวลา และแม้จะมีบางช่วงที่อยากปักหลักที่บ้านเกิด แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดเพราะไม่ได้มีงานตลอด ต้องกลับมาเป็นช่างภาพวิ่งงานไปๆ มาๆ เช่นเดิม “การเคลื่อนย้ายแบบนี้ยากจะให้นิยาม” เพราะแม้อยู่ที่ จ.ยโสธร แต่ก็ยังมีรายได้จากการรับงานที่กรุงเทพฯ ชีวิตจึงมีทั้งส่วนที่อยู่ในกรุงเทพฯ และ จ.ยโสธร อย่างละครึ่ง
“ที่คิดว่าน่าจะเป็นข้อสำคัญก็คือ ธุรกิจขนาดเล็กอย่างกรณีช่างภาพ เขาไม่จำเป็นต้องปักหลักอยู่ในท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง เลือกแล้วว่าจะอยู่ที่นี่แต่ว่าการทำงานสัมพันธ์กับ 2 หรือ 3 หรือ 4 พื้นที่ สมมุติมันมีจังหวัดอื่นๆที่ชวนเขาไป เขาอาจจะเดินทางไปทำยังที่ต่างๆ อันที่สองมันเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่สามารถเคลื่อนไป-มายังพื้นที่ต่างๆ ได้ มันไม่ได้ปักหลัก และมันพร้อมที่จะเคลื่อนไปในที่ต่างๆ” อนุพงษ์ กล่าว
และ 3.ร้านกิฟต์ช็อปเล็กๆ แห่งหนึ่ง สั่งของจากจีนมาขายราคาถูก ใน จ.ยโสธร เจ้าของร้านเป็นชาว จ.ยโสธร เคยไปทำงานในกรุงเทพฯ แล้วกลับมาเปิดร้าน “ทุกอย่าง 20 บาท” ที่บ้านเกิด โดยสั่งสินค้าจาก “เถาเป่า (Taobao)” แอปพลิเคชั่นซื้อ-ขายออนไลน์ของจีน โดยร้านนี้ขายสินค้าทั้งหน้าร้านและทางออนไลน์ “ร้านแห่งนี้เป็นกรณีศึกษาถึงความพยายามลงหลักปักฐานด้วยการใช้เทคโนโลยี แต่ก็ไม่ได้ผูกพันกับการนำสินค้าท้องถิ่นมาแปรรูป” หากเป็นการเชื่อมโยงกับโลกภายนอก (Global) ผ่านอินเตอร์เน็ต นำสินค้าที่อยู่ในกระแส ณ ขณะนั้นมาขาย
“การกลับบ้านไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับพื้นที่ในเชิงสังคมวัฒนธรรมเสมอไป มันเป็นการกลับไปแค่ต้องการพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานบางอย่างที่ให้ฉันทำธุรกิจได้ ฉันก็พร้อมทำอะไรบางอย่างได้แล้ว อันที่สอง โครงสร้างพื้นฐาน เช่น อินเตอร์เนตหรือว่าการขนส่ง ถ้าเราไปต่างจังหวัดเราจะเห็นเคอร์รี เอ็กซ์เพรส เห็นแฟลช เห็นอะไรเต็มไปหมด แล้วมันมีการส่งแม้ว่าคุณจะอยู่บ้านลึกแค่ไหนส่งของก็ไปส่งถึงนะ คุณสั่งได้เลย โครงสร้างพื้นฐานแบบนี้มันเอื้อให้เกิดการเคลื่อนย้ายและการเป็นผู้ประกอบการได้” อนุพงษ์ กล่าว
จากข้อค้นพบข้างต้น อนุพงษ์ ฝากข้อเสนอแนะถึงภาครัฐ 1.การส่งเสริมที่หลากหลาย ไม่จำกัดเพียงไม่กี่ด้านมากจนเกินไป เช่น ที่ผ่านมาเน้นส่งเสริมภาคเกษตรกันมาก 2.ทำโครงสร้างพื้นฐานให้เอื้อ เพราะลำพังการสร้างคนให้มีศักยภาพอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสิ่งอื่นๆ มาเกื้อหนุนด้วย 3.กฎหมายที่ส่งเสริมผู้เล่นหน้าใหม่ กฎหมายบางอย่างยังเอื้อให้ทุนใหญ่ผูกขาด 4.กระจายอำนาจ ท้องถิ่นต้องมีอำนาจมากพอจะวางนโยบายรองรับการย้ายถิ่น และ 5.สร้างโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ เพราะการย้ายถิ่นไม่ได้มีเพียงกลับบ้านเกิดหรือการปักหลักที่ใดนานๆ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี