สกู๊ปพิเศษ : ระดมสมองหาทางรอด‘ผู้ค้าริมทาง’  ก่อนบังคับใช้กฎหมายใหม่/หวั่นทำวิถีค้าขายสูญหาย

สกู๊ปพิเศษ : ระดมสมองหาทางรอด‘ผู้ค้าริมทาง’ ก่อนบังคับใช้กฎหมายใหม่/หวั่นทำวิถีค้าขายสูญหาย

วันอาทิตย์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567, 08.28 น.

“อาหารริมทาง” หรือ “Street Food” ของไทยได้รับความนิยมไปทั่วโลก เพราะมีความหลากหลาย และรสชาติถูกปาก แต่ปัญหาคือ เรื่องของความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมโดยรวม ซึ่งต้องยอมรับว่า นี่คือ “หน้าตาของประเทศ” ดังนั้น หากพัฒนาไปพร้อมๆ กัน ก็จะส่งผลให้ คนกิน คนขาย แฮปปี้ทุกฝ่าย

ด้วยเหตุนี้ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงร่วมกันจัดทำโครงการพัฒนาสุขภาวะผู้ค้าหาบเร่แผงลอย กรุงเทพมหานคร และเพิ่งจัดเสวนาวิชาการสาธารณะ “ชีวิตของผู้ค้าอยู่ตรงไหน ภายใต้หลักเกณฑ์ฯ พื้นที่ทำการค้าและการขายฯ ใหม่” เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา


โดย ดร.กิ่งกาญจน์ จงสุขไกล รองผู้อำนวยการด้านการบริหารและแผนยุทธศาสตร์ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า หาบเร่แผงลอยเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและการเติบโตของเมือง เป็นทั้งแหล่งอาหาร แหล่งรายได้ของคนจำนวนมาก และยังเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนี้ยังสร้างชีวิตชีวา ถือเป็นอัตลักษณ์ของกรุงเทพฯ การเสวนาครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ทุกคนจะได้รับฟังและแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องการค้าหาบเร่แผงลอยจากผู้ทรงคุณวุฒิหลายด้าน และหวังว่าเวทีนี้จะเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนที่สร้างสรรค์และสามารถนำไปสู่แนวทางการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของทุกภาคส่วนในสังคมร่วมกัน

ขณะที่ ดร.วรชล ถาวรพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักเทศกิจอธิบายถึง “หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขายฯ ปี 2567” ว่า กรุงเทพมหานครได้ออกประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขายหรือจำหน่ายสินค้าบนถนนหรือสถานสาธารณะลงวันที่ 29 สิงหาคม 2567 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ถือว่า เป็นการ Set Zero ใหม่ทั้งหมด

โดยเงื่อนไขของประกาศดังกล่าว จะเน้นควบคุมพื้นที่ร้านค้าให้วางแผงลอยตามขนาดที่กำหนดไว้และต้องเว้นทางให้คนเดิน2 เมตร ส่วนคุณสมบัติของผู้ค้าจะถูกคัดเลือกจากผู้ค้าเดิมที่เคยลงทะเบียนไว้ มีสัญชาติไทย รายได้น้อย โดยอ้างอิงจากฐานการเสียภาษีหากมีรายได้เกิน 300,000 บาท/ปี ถือว่าสิทธิ์ขาด หรือถ้าไม่ยื่นเสียภาษีถือว่าสิทธิ์ขาดโดยเจตนาเช่นกัน นอกจากนี้การกำหนดพื้นที่ขายของหาบเร่ในศูนย์อาหาร Hawker Center ผู้ค้าจะได้พื้นที่เช่าราคาถูก สามารถแก้ไขปัญหาด้านสังคมและข้อกฎหมายได้

“การมีผู้ค้าหาบเร่แผงลอยตามที่สาธารณะเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมานาน เพราะมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผู้ไม่เห็นด้วยมองว่าผู้ค้ารบกวนการสัญจรของประชาชน ทำให้เกิดความสกปรก ส่วนฝ่ายที่เห็นด้วยมองว่า ผู้ค้าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและช่วยให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าราคาถูก ดังนั้น เราพยายามจะหาจุดสมดุลที่เป็นไปได้สำหรับทุกฝ่าย ผ่านการหารือในงานเสวนาครั้งนี้”

ด้าน รศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของอาหารริมบาทวิถี หัวหน้าโครงการวิจัย เรื่อง การจัดการด้านโภชนาการและสิ่งแวดล้อมของอาหารริมบาทวิถี คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากการวิจัย Street Food คนที่รับประทานส่วนใหญ่คือคนไทย โดยเฉพาะคนรายได้น้อย อายุน้อย เช่น นักศึกษา ซึ่งจะรับประทานทุกวัน กว่า 38% จะมีภาวะอ้วน ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในระยะแรก พบว่าอาหารริมทาง 50% ไม่ถูกหลักโภชนาการ ดังนั้น ระยะที่ 2 จึงชวนผู้ประกอบการหาบเร่แผงลอยใช้วัตถุดิบที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น พร้อมแนะนำเรื่องความปลอดภัยของอาหาร ความเสี่ยงเกิดเชื้อโรค และยังได้เสนอให้มีการตรวจสุขภาพของผู้ค้าด้วย

ดร.บวร ทรัพย์สิงห์ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความท้าทายของ “การค้าหาบเร่แผงลอย กรุงเทพมหานคร” ว่า การจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยในกรุงเทพฯ เผชิญความท้าทายสำคัญ 5 ประการ ประการแรก คือ การลดลงของจุดผ่อนผันและจำนวนผู้ค้า โดยในช่วง 99 วันที่ผ่านมา มีการดำเนินนโยบายยกเลิกแผงลอยในจุดผ่อนผัน 95 จุด (6,048 ราย)นอกจุดผ่อนผัน 544 จุด (13,210ราย) และถ้าย้อนไป 1 ปี ที่ผ่านมาพบว่าจุดผ่อนผันลดลงถึง 86 จุด (4,541 ราย) นอกจุดผ่อนผัน 544 จุด (13,210 ราย) โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น โบ๊เบ๊สีลม สยามสแควร์ บางนา และทองหล่อ ซึ่งได้รับการจัดระเบียบอย่างเข้มงวด

2.รูปแบบพื้นที่ค้าขายของกรุงเทพฯ โดยผู้ค้าพยายามปรับตัวจากพื้นที่ที่มีความมั่นคงน้อยไปสู่พื้นที่ที่มีความมั่นคงมากขึ้น 3.การประกาศหลักเกณฑ์ใหม่ในปี 2567 ซึ่งมีข้อกำหนดสำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องขนาดพื้นที่ 4.ความท้าทายในการบริหารจัดการ ทั้งการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ค้า การจัดสรรพื้นที่ การควบคุมราคาและคุณภาพสินค้า ความพร้อมของเจ้าหน้าที่เทศกิจในการดำเนินการภายในกรอบเวลาที่กำหนด และ5.ความเสี่ยงด้านอื่นๆ อาทิ โอกาสในการประกอบอาชีพของธุรกิจขนาดเล็กในเมือง การเข้าถึงแหล่งทุนและความรู้ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ค้า

“ดังนั้นหลักเกณฑ์ใหม่ของ กทม. แม้มีจุดแข็งในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย แต่ความเข้มงวดเกินไปในการกำหนดเขตพื้นที่และคุณสมบัติผู้ค้า อาจทำให้ผู้ค้าในจุดผ่อนผันเดิมเสี่ยงที่จะสูญเสียอาชีพ พร้อมเสนอให้ทุกภาคส่วนและผู้ค้าร่วมพัฒนาหลักเกณฑ์ให้สามารถปฏิบัติได้จริง”

ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเมือง กล่าวว่า การแก้ปัญหาสิทธิการใช้พื้นที่เมืองให้เกิดความสมดุล คือสะอาด และไม่ตัดทางทำมาหากินของคนรายได้น้อย ควรพิจารณาโมเดล Hawker Center ของสิงคโปร์ ที่มองหาบเร่แผงลอยเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาเมือง เน้นการอยู่ร่วมกันระหว่างผู้ค้าและชุมชน พร้อมลงทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและสุขาภิบาล แทนการมุ่งควบคุมและจำกัดโอกาสการเติบโตของผู้มีรายได้น้อย

นางพูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธุ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ กล่าวว่า เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำคือต้องพัฒนาหาบเร่แผงลอยให้ดีขึ้น และปรับปรุงกฎหมายให้เอื้อต่อการประกอบอาชีพ การกระจายอำนาจการบริหารจัดการสู่ท้องถิ่น ที่ผ่านมาผู้ค้าเจอวิกฤตหนักตั้งแต่ช่วงโควิด -19 ส่งผลให้ยอดขายลดลง 50 - 75% ต้องหายืมเงินจนเป็นหนี้นอกระบบ ดังนั้นการมีงานทำของคนกลุ่มนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก อยากให้ฝ่ายปกครองหันมาแก้ปัญหาให้ตรงจุด อย่าเน้นการพัฒนาที่กระจุกในเมือง  ควรสร้างโอกาสในการจ้างงานในท้องถิ่นด้วย

อนึ่ง เวทีเสวนาได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วม โดยได้มีข้อเสนอดังนี้ 1.ให้ใช้ตลาดสะพานพุทธเป็นพื้นที่นำร่องตามระเบียบใหม่ เนื่องจากมีความเหมาะสมทั้งด้านขนาดพื้นที่ที่กว้างขวาง และเป็นตลาดกลางคืนที่ไม่กีดขวางการจราจร ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ 2.ให้ใช้แผนการพัฒนาสุขาภิบาลอาหาร เพื่อยกระดับมาตรฐานความสะอาดของอาหาร และใช้เป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาการค้าอาหารริมทางในอนาคต และ 3.ขอให้พิจารณาฟื้นฟูพื้นที่การค้าตลาดโบ๊เบ๊ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในย่านการค้าที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นของกรุงเทพฯ ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ความคิดเห็นต่างๆ ของแต่ละภาคส่วนที่นำมาถ่ายทอดในเวทีนี้ คือการสะท้อนความเป็นจริงในแต่ละด้าน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ สามารถนำไปพัฒนาแนวทางบริหารจัดการเรื่องการค้าขายอาหารริมทางเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายได้อย่างยั่งยืนต่อไป

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top