จับกันไม่หมดไม่สิ้น สำหรับปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า แม้รัฐบาลประกาศเป็นนโยบาย นายกฯ สั่งการตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งกวาดล้าง แต่ผู้ค้าบนแผงตามร้านค้าเมื่อถูกกวดขันจับกุมจากเจ้าหน้าที่ ก็หนีไปขายผ่านช่องทางออนไลน์ ปัญหาจึงไม่จบลงง่ายๆ
แม้ว่าเพิ่งผ่านพ้นวันงดสูบบุหรี่โลก ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดขึ้นในวันที่ 31 พ.ค.ของทุกปี มาหมาดๆ โดยประเทศไทย ก็มีงาน มีกิจกรรมเพื่อร่วมรณรงค์เนื่องในวันดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
ด้วยยุคสมัยแห่งเทคโนโลยี ผู้ที่ฝ่าฝืนลักลอบขาย ก็หลีกเลี่ยงการตรวจจับจากการขายออนไซต์หรือมีหน้าร้าน ก็หันไปพึ่งช่องทางออนไลน์ และแม้ตำรวจ รวมถึงผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง จะเร่งสืบสวนทางไซเบอร์ เพื่อปราบปราม แต่ปัญหานี้คงยากที่จะจัดการให้ถึงขั้นเด็ดขาด เฉกเช่นปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด และสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ ที่ผู้กระทำผิดก็อาศัยช่องทางดังกล่าว
ช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่หย่อนยาน หรือเปิดช่องว่าง กลุ่มผู้กระทำผิดก็สบช่องดำเนินการทันที
เมื่อเร็วๆ นี้ ตำรวจ บช.สอท.หรือตำรวจไซเบอร์ ได้นำหมายศาลจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ ต.บางปูใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ก่อนจะจับกุมวัยรุ่นสร้างตัว หรือนายพิพัฒน์ พึ่งบุญ อายุ 22 ปี พร้อมตรวจยึดของกลางบุหรี่ไฟฟ้าชนิดใช้แล้วทิ้ง 33 ชิ้น บุหรี่ต่างประเทศหลายยี่ห้อ รวม 870 ซอง รวมมูลค่ากว่า 6 หมื่นบาท หลังจากสืบสวนพบเฟซบุ๊กในชื่อ Jopipat โพสต์ขายบุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ส่วนควบ อาทิ น้ำยา พอต เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานจนชี้ชัดตัวบุคคลได้แน่ชัด จึงขออำนาจศาลออกหมายจับ และวางแผนติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหารายนี้ไว้ได้พร้อมของกลางดังกล่าว
จากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหา พบข้อมูลการแชทสนทนากับกลุ่มลูกค้า ในลักษณะของการลักลอบปล่อยเงินกู้นอกระบบ อีกด้วย
สอบสวนผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้ลอบขายบุหรี่ไฟฟ้ามานาน 3 เดือน ฟันกำไรเดือนละหลายหมื่นบาท โดยสาเหตุที่ทำไป เพราะต้องการหาเงินเพื่อสร้างฐานะ เพราะเห็นช่องทาง เนื่องจากการจำหน่ายบุหรี่ฟ้านั้นซื้อง่ายขายคล่อง
การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ถือเป็นปัญหาสำคัญทางด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะในกลุ่มวัยโจ๋ ที่ใช้กันอย่าแพร่หลาย เพราะบุหรี่ไฟฟ้ามีรูปลักษณ์ทันสมัย มีกลิ่นหอม และใช้งานง่าย ทำให้กลุ่มวัยรุ่น ไม่รู้สึกถึงอันตราย แถมการโฆษณาผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรืออินฟลูเอนเซอร์ ยิ่งทำให้เกิดค่านิยมผิดๆ จนกลายเป็นแฟชั่น ในหมู่ขาโจ๋ ที่เป็นวัยอยากรู้ อยากลอง
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.เผยตัวเลขในปี 2567 พบคนไทยมีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึง 900,459 คน ขณะที่เด็กเยาวชน อายุ 13-15 ปี มีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 5.3 เท่าใน 7 ปี
เรื่องนี้จึงต้องหันกลับมาพิจารณากันในเรื่องของการรับรู้ถึงโทษภัย อันตรายจากการใช้งานบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งสารพิษอย่างนิโคติน ฟอร์มัลดีไฮด์ โลหะหนัก เสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหอบหืด โรคมะเร็ง และอื่นๆ เมื่อสูบในระยะยาว
ที่ผ่านมา ภาครัฐต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาล โดยข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2567 พบต้นทุนค่ารักษาพยาบาลของโรคที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้า ระยะยาว กว่า 300 ล้านบาท
สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ภาครัฐควรพิจารณา 1.สร้างความตระหนักรู้ผ่านการศึกษา จัดทำสื่อรณรงค์ที่เข้าใจง่ายสำหรับเยาวชน ผู้ปกครอง และครู เช่น วิดีโอสั้น เกม อินโฟกราฟิก
ให้ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้า ในหลักสูตรสุขศึกษา
2.ควบคุมช่องทางการขายออนไลน์ โดยจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ ในการตรวจสอบเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ โดยบังคับให้แพลตฟอร์มเหล่านี้ มีนโยบายเข้มงวดต่อการขายผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมาย 3.พัฒนาและปรับปรุงกฎหมาย พิจารณาออกกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ทันสมัย ไม่คลุมเครือ มีการกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนต่อผู้ลักลอบจำหน่าย หรือโฆษณา
4.ส่งเสริมทางเลือกที่ปลอดภัยและการเลิกบุหรี่ สนับสนุนคลินิกเลิกบุหรี่ และให้บริการผ่านระบบสาธารณสุข เปรียบเทียบให้ชัดเจนระหว่างบุหรี่ทั่วไปกับบุหรี่ไฟฟ้า และการเลิกบุหรี่ด้วยวิธีอื่นๆ 5.ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน จัดตั้งเครือข่ายชุมชนปลอดบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมกับโรงเรียน องค์กรท้องถิ่น และเยาวชน ดึงภาคธุรกิจเข้าร่วมรณรงค์ เช่น ปิดกั้นโฆษณาเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อที่ตนควบคุม
ปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย สะท้อนถึงช่องโหว่ด้านกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงความเข้าใจของประชาชน ดังนั้นการแก้ไขปัญหานี้ จึงต้องอาศัยแนวทางแบบบูรณาการ ทั้งด้านกฎหมาย การศึกษา การสื่อสารสาธารณะ การสร้างชุมชนที่มีภูมิคุ้มกันที่ดี ที่สำคัญคือการปลุกจิตสำนึกของผู้ที่ยังใช้งานบุหรี่ไฟฟ้า ให้เห็นถึงโทษภัยอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ และอนาคตของตนเอง
ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี