“คน” คือทรัพยากรสำคัญในการพัฒนาสังคมประเทศชาติ ดังนั้นการเตรียมคนคุณภาพจึงต้องทำตั้งแต่เด็ก และหน่วยที่เล็กที่สุดคือ “สถาบันครอบครัว” ถ้าครอบครัวมีความสุข คนในครอบครัวนั้นก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ดี แต่ความท้าทายคือ ปัจจัยเสี่ยง ที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันครอบครัวอันสำคัญนี้ให้เกิดการสั่นคลอน
ดังนั้น “วันแม่” ปีนี้ ทางเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน มูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ “My Mom” รักไม่ธรรมดา เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการกระตุ้นให้แม่หันมาใส่ใจสุขภาพ ลด ละ เลิกพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์และความรุนแรงในครอบครัว เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี คืนความสุขให้ครอบครัว และร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้สังคมเห็นความสำคัญของแม่และสถาบันครอบครัว
นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ คณะกรรมการ สสส. กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม ของทุกปี สสส.และเครือข่ายจึงจัดกิจกรรม “My Mom” รักไม่ธรรมดา เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นต้นทางของปัญหาสำคัญในหลายมิติ ข้อมูลค่าการสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยปี 2564 เท่ากับ 165,450.5 ล้านบาทหรือ 1.02% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) แบ่งเป็น การสูญเสียทางอ้อมจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และการขาดงานหรือสูญเสียผลิตภาพจากการทำงาน 96.3% และการสูญเสียทางตรงจากค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรม และมูลค่าความเสียหายต่อทรัพย์สินจากอุบัติเหตุจราจรทางบก 6,091.7 ล้านบาท
ที่น่าตกใจคือ คนไทยเกือบ 80% เคยได้รับผลกระทบจากการดื่มของผู้อื่น ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และปัญหาครอบครัว โดยต้นทุนทางสังคมเฉลี่ยจากนักดื่มไทยหนึ่งคนสูงถึง 498,196 บาท โดยเฉพาะนักดื่มชายมีต้นทุนสูงถึง 721,344 บาทต่อคน แอลกอฮอล์ ยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 ที่เชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 8 ชนิด อาทิ มะเร็งช่องปาก กล่องเสียง ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก เต้านม ตับ และตับอ่อน ตัวเลขทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการลด ละ เลิกการดื่ม เพื่อปกป้องสุขภาพ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน
“การจัดกิจกรรมวันนี้เพื่อรณรงค์ ให้ความรู้ กระตุ้นเตือนอันตรายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขับเคลื่อนมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีประสิทธิภาพ ให้ความสำคัญในการดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม การสกัดนักดื่มหน้าใหม่ ตลอดจน สะท้อนถึงพลังบวกของแม่ ความรัก และความเสียสละที่ยิ่งใหญ่เพื่อครอบครัว สะท้อนจุดยืนและการดำเนินงานของ สสส. ที่ต้องการสร้างเสริมสุขภาวะในสังคมให้ห่างไกลกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สิ่งเสพติดและการพนัน” นายวิเชษฐ์ กล่าว
นายอภิรัฐ สุดสาย อดีตเยาวชนศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ตอนเด็กครอบครัวตนไม่ค่อยสมบูรณ์ พ่อ แม่ทะเลาะกันบ่อย และแม่มีสามีใหม่ ที่จำความได้คือเราอยู่กับความรุนแรงในครอบครัวมาตลอด เมื่อมีความรุนแรงเกิดขึ้นบรรยากาศก็จะเงียบลง เหมือนว่าความรุนแรงเป็นสิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาได้ แต่มันกลับทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวแย่ลง ไม่มีปฏิสัมพันธ์ บ้านเหมือนแค่ที่ให้นอน มีข้าวให้กิน ถึงเวลาก็ทำงาน รับผิดชอบหน้าที่ตัวเอง ไม่มีการกินข้าว นั่งคุย ไม่ถามสารทุกข์สุกดิบ ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นก็ถูกทำโทษ ทั้งที่เราอยากได้ความรัก อยากให้แม่กอด บางครั้งแม่หลับเราแอบไปดึงแขนเขามากอด
นายอภิรัฐ เล่าต่อไปว่า ความเงียบในบ้านเป็นสิ่งน่ากลัว ความห่างเหินทำให้ตนรู้สึกไม่มีตัวตน พอขึ้น ม.2 ก็ทำให้เราอยากมีตัวตน รวมกลุ่มเพื่อนและสร้างตัวตนในทางที่ผิด และร้ายแรงถึงขั้นยกพวกตีกัน ถูกไล่ออกจากโรงเรียน แล้วไม่กลับบ้าน แม่แก้ปัญหาด้วยการส่งตนมาอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แต่เป็นการผลักปัญหา และนั่นทำให้ตนมาเจอคนแบบเดียวกัน เหมือนผีเห็นผี
เรายิ่งต้องเด่นชัดในทางดื้อ ยกพวกตีกัน อยากเป็นไอดอลของเพื่อนต้องมีเงินดูแลเพื่อนให้ได้จึงออกปล้นหาเงินมากินเที่ยวกับเพื่อนจนถูกจับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไปอยู่บ้านกาญจนาจึงได้ปรับความคิด รู้คุณค่าตัวเองและคนอื่น รวมถึงคุณค่าความรักที่ไม่ได้แปลจากคำพูด แต่มาจากการกระทำ
นายอภิรัฐ ยังบอกอีกว่า เนื่องในวันแม่ สิ่งที่ตนอยากบอกกับคนที่กำลังสร้างครอบครัว โดยอิงจากบทเรียนของตนว่า เด็กทุกคนต้องการความรักความห่วงใยจากพ่อ แม่ ที่สำคัญคือ ต้องแสดงออกอย่างชัดเจนด้วย เพราะจากเรื่องราวของตนนั้น รู้ว่าแม่มีความรัก ห่วงใยให้ หวังดี แต่มันไม่ได้แปลมาจากการกระทำ ทุกอย่างมันอยู่ในความเงียบ ความมืด เราไม่สามารถเข้าใจความรักที่เขาให้เราได้ แค่บอกเราเป็นคนดี โตไปอย่าโกง ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าเราต้องทำแบบไหน แต่เมื่อเข้ากระบวนการคิดของป้ามล มีการทำกิจกรรมเรารู้สึกว่า คนเรามีคุณค่า ไม่ไปละเมิดสิทธิคนอื่น พอจบมาตอนนั้นผมจึงเดินทางต่อเพื่อช่วยเหลือสังคม
“ในคุกเด็ก 80% มาจากปัญหาครอบครัว กดดัน หรือสปอยลูกเกินไป หรือเมินเฉยลูกเกินไป ดังนั้น ถ้าสร้างให้เขารู้สึกมีคุณค่า มีอนาคตที่ดีได้ ถ้าเขาอยู่ในบรรยากาศครอบครัวที่ดี พ่อ แม่เป็นปราการแรก เด็กคนหนึ่งเกิดมาสัมผัสแรกคืออยู่ในอ้อมกอดพ่อ กับแม่ การเลี้ยงดู มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในการดูแลความรู้สึกของเด็ก เด็กเกิดมาไม่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อน แต่ผู้ใหญ่เคยเป็นเด็กมาก่อนจึงควรดูแลเด็กด้วยความรักความใส่ใจ ป้องกัน เฝ้าระวังการกระทำผิด” นายอภิรัฐ กล่าว
ด้าน นางเฉลิมขวัญ เย็นเสมอ คุณแม่ของอดีตเยาวชนศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า เมื่อก่อนที่ตนอยู่กับสามีและลูก พ่อเขามักดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ส่วนตัวก็ยอมรับว่าเป็นคนจู้จี้ จุกจิก ทำให้มีการทะเลาะ และมีความรุนแรงกันบ่อย จนกระทั่งหลังๆ พอน้องเป็นวัยรุ่น พฤติกรรมน้องเปลี่ยนไป จากคนที่สนิทกับแม่ มีความรับผิดชอบ ทำงานเลี้ยงตัวเอง ก็กลายเป็นคนเงียบไม่พูด มีปัญหาก็ไม่ปรึกษา ซึ่งตนก็ไม่ได้แก้ไข แต่โยนความผิดไปให้พ่อเขาว่าไม่สนใจลูก
ต่อมา พอลูกขึ้นชั้น ปวช. ไปก่อเหตุยิงเพื่อนเสียชีวิต เข้าสถานพินิจและย้ายไปอยู่บ้านกาญจนา ได้มีการเข้าสู่กระบวนการปรับพฤติกรรมความคิด รวมถึงตนและสามีก็ได้เข้าสู่กระบวนการปรับความคิดด้วยเช่นกัน จนได้รู้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากพ่อแม่ที่กินเหล้า ทะเลาะกัน จู้จี้หวังให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ
ดังนั้น ตนกับสามีจึงมีการพูดคุยกัน ว่า สามีเลิกเหล้า ส่วนตนก็ไม่บ่น ซึ่งเราทำกันโดยที่ไม่ได้บอกลูก แต่ค่อยๆ พยายามปรับเปลี่ยนด้วยกัน จนสุดท้ายสามีเลิกเหล้าได้จริงๆ และตนก็ไม่ได้จู้จี้ขี้บ่นแล้ว สุดท้ายลูกกลับมาหาและเริ่มคุยกัน เขามาเล่นกับน้อง นั่งกินข้าวด้วยกัน บรรยากาศในบ้านมันดีขึ้น เขาคุยกับเรา ยิ้มให้กัน เหมือนกับว่าเราได้ลูกคนเล็กกลับคืนมา ดังนั้น อยากให้ครอบครัวอื่นๆ เอาครอบครัวตนเป็นอุทาหรณ์ การเลี้ยงลูกต้องรับฟังความต้องการลูก อย่าบังคับให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการเพียงอย่างเดียว
ขณะที่ น.ส.ถุงเงิน พันตน แม่ของเหยื่ออุบัติเหตุ กล่าวว่า ลูกชายของตนกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ เป็นเสาหลักของครอบครัว แต่ตอนที่ลูกอายุ 25 ปี ก็เกิดอุบัติเหตุรถกระบะขับมาชนระหว่างขี่จักรยานยนต์ไปซื้อของ อาการหนักต้องเข้าไอซียูกว่า 20 วัน และนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานกว่า 2 เดือน ซึ่งคนขับรถกระบะก็ไม่ได้รับผิดชอบอะไรเพราะเขาบอกว่าลูกเราเป็นคนผิดเอง
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น จนถึงตอนนี้ผ่านมากว่า 6-7 ปี แล้ว ลูกชายตนต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง สามารถสื่อสารได้บ้าง แต่ไม่สามารถพูดหรือขยับร่างกายได้ ต้องให้อาหารผ่านสาย ตนต้องสู้ทุกอย่างเพื่อดูแลลูกขอเพียงเขายังมีลมหายใจอยู่ก็ดีแล้ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตนอยากบอกกับสังคมคือ ขอให้มีสติไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ขับรถต้องสวมหมวกนิรภัย หรือคาดเข็มขัดนิรภัย ดื่มไม่ขับ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นตอนไหน หากเซฟตัวเองไว้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุก็จะลดการเสียชีวิต ลดการเจ็บหนัก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี