เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 เพจเฟซบุ๊ก "Army Military Force" ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ในหลวง ร.10 ทรงลุยสมรภูมิรบที่บ้านหมากแข้ง อ.ด่านซ้าย จ.เลย ปี พ.ศ. 2519 หรือเมื่อ 49 ปีก่อน
ย้อนไปในปี พ.ศ. 2519 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะมีพระอิสริยยศเป็นร้อยเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร ประจำการอยู่ที่หน่วยทหารจังหวัดพิษณุโลก ทรงทราบว่าที่หมู่บ้านหมากแข้ง อ.ด่านซ้าย จ.เลย ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาไม่ห่างจากภูหินร่องกล้า เป็นหมู่บ้านเดียวในขณะนั้นที่ไม่เข้าร่วมกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ จึงถูกโจมตีอย่างหนัก ทำให้เจ้าหน้าที่และชาวบ้านเสียชีวิตจำนวนมาก เฮลิคอปเตอร์ที่มารับส่งทหารก็ถูกยิงตกทับบ้านเรือนราษฎร ชาวบ้านเสียขวัญต้องอพยพหนี จึงมีรับสั่งกับ พล.ท. สมศักดิ์ ปัญจมานนท์ แม่ทัพภาคที่ 3 ว่า
“จะต้องไปแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นให้ได้”
แม้ว่า แม่ทัพภาคที่ 3 จะกราบบังคมทูลทัดทาน เนื่องจากสถานการณ์ขณะนั้นไม่น่าไว้วางใจ แต่พระองค์ก็ทรงยืนยันอย่างหนักแน่นว่า…
“ชักช้าไม่ได้ ต้องไปแก้ไขให้ได้ในวันนี้ และเดี๋ยวนี้” จากนั้นเวลา 15.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้นักบินนำเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง มุ่งไปยังฐานบ้านหมากแข้งทันที
แต่ขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังจะร่อนลง ยังไม่ทันที่จะแตะพื้น ฝ่ายผู้ก่อการร้ายได้ระดมยิงมายัง ฮ. จนไม่สามารถลงจอดได้ วินาทีนั้นร้อยเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ทรงกระโดดลงมาจากความสูงประมาณ 2 เมตร แล้ววิ่งฝ่ากระสุนหลบเข้าที่กำบังอย่างกล้าหาญ
เมื่อทรงถึงที่มั่น พระองค์ก็ได้ทรงบัญชาการรบทันที รับสั่งให้ทหารตามเสด็จ ยิงโต้ตอบผู้ก่อการร้าย และยังมีคำสั่งให้ปืนใหญ่จากฐานบ้านห้วยมุ่น ยิงถล่มผู้ก่อการร้ายด้วย
กระทั่งเวลา 16.00 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จึงทรงบัญชาการให้ชุดปฏิบัติการออกลาดตระเวน โดยทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดด้วยพระองค์เอง แม้แม่ทัพภาคที่ 3 ได้กราบบังคมทูลทัดทานด้วยเกรงว่าจะทรงเป็นอันตราย แต่พระองค์มีรับสั่งว่า…
“ฉันต้องไปเพราะว่าเป็นหน้าที่ของทหาร”
ทรงนำหน้าทหารบุกตะลุยไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตราย ท่ามกลางเสียงปืนดังไม่ขาดสาย แต่พระองค์ไม่ได้ทรงหวั่นเกรงแต่ประการใด ในที่สุดผู้ก่อการร้ายก็ต้องล่าถอยไป
จากนั้นทรงฝ่าดงระเบิดไปถึงหมู่บ้านหมากแข้ง เสด็จไปยังบริเวณที่เฮลิคอปเตอร์ถูกยิงตก ทรงตรวจสภาพเฮลิคอปเตอร์ แล้วเข้าปลอบขวัญราษฎร ทรงขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าทหารจะคุ้มครองความปลอดภัยให้อย่างเต็มที่ และได้เสด็จไปโรงเรียนบ้านหมากแข้งที่เคยถูกผู้ก่อการร้ายปิดล้อมและยึดไว้ แต่ฝ่ายรัฐยึดกลับคืนมาได้ เพื่อพระราชทานกำลังใจแก่ครูและนักเรียน
คืนนั้นทรงประทับแรมที่ฐานปฏิบัติการโดยบรรทมในหลุมบุคคล ซึ่งมีความลึกประมาณ 2 ฟุต หลังคามุงด้วยหญ้าคา ทรงใช้เป้ทหารหนุนพระเศียร และบรรทมในชุดเครื่องแบบสนามที่ทรงนำไปชุดเดียว โดยไม่มีเครื่องกันหนาวหรือผ้าห่มแม้แต่ผืนเดียว
นายอินตา สิงขรณ์ ผู้ใหญ่บ้านหมากแข้ง ยังคงจำเหตุการณ์การครั้งนั้นได้ดี เล่าว่า
"พระองค์ท่านทรงปฏิบัติเหมือนทหาร ตื่นตั้งแต่ตี 5 นอนตอนกลางคืนไม่มีผ้าห่ม ยังไม่ได้สรงพระพักตร์ก็ออกลาดตระเวน เสวยข้าวจี่ทาไข่กับปลาร้า ครั้งนั้นทำให้เรามีกำลังใจขึ้นเยอะ รู้สึกว่ารอดจากภัยคอมมิวนิสต์ รอดจากความตายแล้ว ก็พากันดีใจและภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง"
นี่คือที่มาของ “อุทยานเทิดพระเกียรติบ้านหมากแข้ง” ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ซึ่งเป็นบทบาทหนึ่งของวีรกษัตริย์ รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรี และอาจเป็นกษัตริย์พระองค์แรกหลังจากรัชกาลที่ 2 เป็นต้นมา ซึ่งทรงมีโอกาสได้เข้าสู่สมรภูมิรบด้วยพระองค์เอง เพื่อปกป้องประชาชนและประเทศชาติ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี