สกู๊ปพิเศษ : ‘สมดุลเศรษฐกิจกับสุขภาพ’แบบใด  ปลดล็อก‘เวลาขายเหล้า-นั่งดื่ม’

สกู๊ปพิเศษ : ‘สมดุลเศรษฐกิจกับสุขภาพ’แบบใด ปลดล็อก‘เวลาขายเหล้า-นั่งดื่ม’

วันอาทิตย์ ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 07.44 น.

ถึงวันนี้เป็นอันชัดเจนแล้วว่า การสร้าง “สมดุลเศรษฐกิจกับสุขภาพ” ในมือ “รัฐบาลอนุทิน”โดยคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ซึ่งประชุมช่วงบ่ายวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยมีนายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้ออกมาแถลงว่ามีมติ “ปลดล็อกเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 14.00-17.00 น.” หมายความว่าอนุญาตให้ขายได้นั่นเอง

เมื่อระดับนโยบายพูดมาถึงขนาดนี้ชุดเล็กอย่าง “คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ซึ่งยังไม่ทันได้ตั้งกรรมการจนครบองค์ประกอบ โดยมีเพียงกรรมการโดยตำแหน่ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นข้าราชกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และมี รมว.สาธารณสุข ซึ่งก็คือ นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ เป็นประธาน ก็เคาะซ้ำอนุมัติตามทันที อนุญาตนั่งดื่มต่อหลังเวลาห้ามขายได้จนถึงตี 1 และอนุญาตให้ขายเหล้าได้ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น.นั้น จะมีการทดลองดำเนินการเป็นเวลา 6 เดือน บอกให้พื้นที่ศึกษาผลกระทบ ข้อดี-ข้อเสีย ข้อที่ต้องการมายังส่วนกลาง


ทั้งๆ ที่ผ่านมา มีหลายฝ่ายทั้งภาคประชาชน นักวิชาการต่างแสดงความห่วงใย เพราะมีผลการศึกษาออกมาจำนวนมากว่า การเปิดให้ดื่มแอลกออฮอล์ แบบผ่อนปรนบ้างนั้นได้ไม่คุ้มเสีย โดย รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่าจากการศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชาชนไทย ปี 2568 เพื่อสะท้อนเสียงประชาชนและเตือนให้รัฐใช้ “ข้อมูลวิจัยเชิงประจักษ์” เป็นฐานในการตัดสินใจ มากกว่าการตอบสนองต่อแรงผลักจากกลุ่มผลประโยชน์เฉพาะ กลุ่มตัวอย่าง 3,924 คน ใน 12 จังหวัด พบว่า ร้อยละ 82.8 เห็นด้วยกับการคงมาตรการจำกัดเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ขายได้เฉพาะ เวลา 11.00–14.00 น. และ 17.00–24.00 น.

เสียงประชาชนส่วนใหญ่ชัดเจนว่าต้องการให้คงเวลาห้ามขายไว้ตามเดิม เพราะมองว่าเป็นมาตรการสำคัญในการลดอุบัติเหตุและปัญหาความรุนแรง แต่ภาครัฐกลับกำลังพิจารณาขยายเวลาขายในช่วง 14.00–17.00 น. ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่สถิติอุบัติเหตุสูงสุดของวัน โดยข้อมูลจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้ว่า ช่วงเวลา 14.00–17.00 น. เป็นช่วงที่มีอัตราอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงสุดของวัน และเป็นช่วงที่ นักเรียน นักศึกษา และพนักงานกำลังเดินทางกลับบ้าน หากยกเลิกช่วงห้ามขายในเวลานี้ จะเพิ่มโอกาสการดื่มก่อนขับขี่ และทำให้อุบัติเหตุในช่วงเย็นเพิ่มขึ้น

ขณะที่ ผลการประเมินของโครงการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจ สุขภาพ และสังคมจากการผ่อนคลายมาตรการแอลกอฮอล์ ปี 2566 พบว่า การขยายเวลาขายอาจเพิ่มความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากอุบัติเหตุและความรุนแรงในครอบครัว เพิ่มต้นทุนทางสังคมและค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข และในมิติทางสังคม ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเยาวชนและผู้มีรายได้น้อย ขณะเดียวกัน หากรัฐเปิดทางให้ผู้ผลิตรายย่อยเพิ่มจำนวนหรืออนุญาตพื้นที่พิเศษเพื่อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับการท่องเที่ยวยามค่ำคืน โดยไม่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด จะสร้าง “เขตยกเว้นกฎหมาย” และขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มุ่งคุ้มครองสุขภาพประชาชน

และผลจากการศึกษาของคณะผู้ทรงคุณวุฒิที่กระทรวงสาธารณสุขแต่งตั้ง เพื่อติดตามผลกระทบการขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4 ใน 5 พื้นที่นำร่อง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ และเกาะสมุย พบว่า อัตราการเสียชีวิตช่วงตี 2 ถึงหกโมงเช้าเพิ่มขึ้น 13.4% จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก คดีเมาแล้วขับเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า มาอยู่ที่ 117% มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 3 ศพ จากเหตุคนเมาขับชน ผู้ประกอบการในเขตโซนนิ่งส่วนใหญ่ยังไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการควบคุม เช่น ไม่ตรวจวัดแอลกอฮอล์ก่อนขับกลับ และขายให้ผู้มึนเมา

แม้ภาครัฐคาดหวังผลเชิงเศรษฐกิจจากนโยบายดังกล่าว แต่ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปี 2023 ชี้ว่า การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวหรูเฉลี่ยต่อทริปอยู่ที่ 71,933 บาท และส่วนใหญ่ หรือ 81% เดินทางมาเพื่อพักผ่อน ไม่ได้เน้นการท่องเที่ยวยามค่ำคืนเป็นหลัก โดยกิจกรรมยอดนิยม คือ การกินอาหารไทย 90% จึงสะท้อนว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน “การดื่มยามค่ำคืน” ไม่ใช่ปัจจัยหลักของการท่องเที่ยวคุณภาพ

ศวส. จึงมีข้อเสนอ ดังนี้ 1.คงช่วงเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามเดิม 14.00-17.00 น. เพื่อสอดคล้องกับเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ (82.8%) และลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุและการเข้าถึงของกลุ่มเปราะบาง 2.ยกระดับระบบการสื่อสารสาธารณะและการบังคับใช้กฎหมาย 3.ไม่ขยายเวลาขายหลังเที่ยงคืนเพิ่มเติม จากบทเรียน “ตีสี่” 4.ให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติใช้ข้อมูลวิจัยเชิงประจักษ์เป็นฐานตัดสินใจ และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนอย่างรอบด้าน เพื่อให้การออกกฎหมายสอดคล้องกับเจตนารมณ์การคุ้มครองสุขภาพของประชาชนไทย

หากรัฐบาลยืนยันจะขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องมีกลไก “ลดความเสียหายและเฝ้าระวังผลกระทบ” ที่เข้มแข็งกว่าปัจจุบัน เพื่อไม่ให้สังคมต้องแบกรับต้นทุนด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และเศรษฐกิจสูงขึ้น โดยใช้แนวทาง “ขยายอย่างมีเงื่อนไข–ควบคุมเข้มกว่าก่อน”

สอดคล้องกับ ทางเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ (ครปอ.) และภาคีเครือข่าย 39 องค์กร ที่ได้ร่วมออกแถลงการณ์ ในเช้าวันที่ 13 พ.ย. ก่อนการประชุม 2 คณะข้างต้นเพื่อ คัดค้านการเร่งออกกฎหมายขยายเวลาขาย-ดื่มสุรา ด้วยองค์ประกอบคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะประเด็น 1.เรื่องกำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ 2. เรื่องกำหนดเวลาห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ในสถานที่ขายในเวลาห้ามขาย) ซึ่งเป็นไปตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการร้านเหล้า ผับบาร์ ที่อ้างว่าจะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 500,000 ล้านบาท นักท่องเที่ยวจะเดินทางมามากขึ้นจากมาตรการนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่เกินเลย ไม่สมเหตุสมผล แต่ความสูญเสียนั้นมีหลักฐานเชิงประจักษ์จากนโยบายเปิดผับถึงตีสี่ ที่กลายเป็นมรดกบาปของประเทศที่สมควรจะยกเลิกไป

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้น ถึงจะมีตัวเลขชัดเจนเพียงใด สุดท้ายก็ไฟเขียวให้ขายเหล้า ขายเบียร์เพิ่มได้อีกช่วงเวลา คือ 14.00-17.00 น. เท่ากับว่า 1 วันมี 24 ชั่วโมง เมืองไทยกิน
ดื่มได้ แทบจะ 24 ชั่วโมง

คำถามคือ สมดุลเศรษฐกิจ-สุขภาพ แบบใด อนุญาต ขาย กิน ดื่ม กันฉ่ำแบบนี้ พอถามถึงความรับผิดชอบของผู้ประกอบการก็เงียบทั้ง 2 คณะ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายธีระ วัชรปราณี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ระบุว่าการปลดล็อกให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในช่วง 14.00-17.00 น. นั้นชัดเจนว่า มาจากนโยบายฝ่ายการเมืองที่รับฟังภาคเอกชนมากเกินไป ทั้งๆ ที่ถ้าจะทำการศึกษา 6 เดือน ก็ควรกำหนดเป็นพื้นที่นำร่อง หรือทำแซนด์บ็อกซ์พื้นที่ท่องเที่ยว หรือจะกำหนดวันสำหรับนโยบายนี้ให้ทำวันเสาร์-อาทิตย์ เท่านั้น ส่วนจันทร์-ศุกร์ เป็นวันทำงานก็ขอให้ยึดแนวทางเดิมก็ได้ ซึ่งมีหลายทางเลือก

มติที่ออกมานี้ย้อนแย้งโดยตัวมันเอง เพราะกระทรวงสาธารณสุขอยากให้คนสุขภาพดี แต่แอลกอฮอล์ซึ่งอยู่ในรายการสินค้าที่ก่อให้เกิดมะเร็งกลุ่มที่ 1 เหมือนบุหรี่ องค์การอนามัยโลกก็ยืนยันว่าไม่มีปริมาณการดื่มที่ปลอดภัย และมีข้อมูลใหม่ๆ เข้ามาว่า คำที่บอกว่าดื่มบ้างเพื่อสุขภาพนั้นก็ไม่เป็นจริง

อย่างไรก็ตามทางเครือข่ายจะเดินหน้ารณรงค์ ให้เห็นถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลของคนในพื้นที่ว่าคิดเห็นอย่างไร โดยจะทำเป็นเวทีสาธารณะ ส่วนผลที่ออกมาจะส่งผลต่อการตัดสินใจหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง

มติที่ออกมาเป็นการสร้าง “สมดุลเศรษฐกิจกับสุขภาพ” อย่างที่อ้างมานั้นจริงหรือไม่ ก็ต้องให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top