สกู๊ปพิเศษ : ‘ดื่มไม่ขับ’ ทำปีใหม่ให้เป็นเทศกาลแห่งความสุขที่แท้จริง

สกู๊ปพิเศษ : ‘ดื่มไม่ขับ’ ทำปีใหม่ให้เป็นเทศกาลแห่งความสุขที่แท้จริง

วันอาทิตย์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.

นับถอยหลังไม่กี่วันก็เข้าสู่ศักราชใหม่ แน่นอนว่าเป็นเทศกาลแห่งความสุข เป็นวันรวมญาติที่พักจากการงานต่างถิ่นกลับมาร่วมสังสรรค์กัน แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายเมื่อบางครอบครัวกลับอยู่ในความเศร้าเสียใจ เพราะรอแล้วรอเล่ามิตรสหายยังไม่ถึงเรือนชาน เพราะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นตัวขวาง...ไปแล้ว ไม่อาจกลับมา

“ทุกๆ เทศกาลปีใหม่มีคนไทยถึง 5,000 ราย ที่ออกมาสังสรรค์ ฉลองแล้วกลับไม่ถึงบ้าน ปีใหม่ พ.ศ. 2568 มีคนเสียชีวิตจากดื่ม-เมาขับ 53 ศพ บาดเจ็บสาหัสเข้ารักษาพยาบาล 4,892 ราย ในจำนวนนี้ 422 รายมีอายุน้อยกว่า 20 ปีซึ่งกฎหมายจะห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กเยาวชนอายุน้อยกว่า 20 ปี และถ้าอายุน้อยกว่า 18 ปี การขายหรือการจัดให้มีการดื่มจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก” นี่คือ ข้อมูลที่ นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ระบุ ในกิจกรรมรณรงค์เนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2569 “ปีใหม่ ดื่มไม่ขับ...กลับบ้านปลอดภัย 2569” ณ ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ซึ่งจัดโดย เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต มูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) วันที่ 25 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา


โดย นพ.ธนะพงศ์ ยังระบุอีกว่า ความเสี่ยงสำคัญของการดื่ม-เมาขับ จะพบในช่วงฉลองวันที่ 30 ธ.ค.-1 ม.ค. และพบว่า ประชาชนจะวางแผนเดินทางออกจาก กทม.หรือเดินทางกลับต่างจังหวัดเร็วขึ้น เช่น เดินทางช่วงคริสต์มาส ส่งผลให้ดื่มสังสรรค์หรือฉลองเร็วขึ้น และ peak การดื่ม-เมาขับ จะสูงสุดในคืน 31 ธ.ค. และถ้ามีการผ่อนปรนขายเหล้าได้ตลอดทั้งคืนจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง (คืน 31 ธ.ค.-เช้า 1 ม.ค.) ปีใหม่ 2566, 2567, 2568 มีผู้เสียชีวิตเพิ่มจาก 5 ศพ เป็น 9 ศพ และ 11 ศพ ตามลำดับ

นอกจากนี้ ยังพบว่า การเกิดเหตุรุนแรงหรือเสียชีวิตในช่วงฉลองจะอยู่ “ใกล้บ้าน” ระยะไม่เกิน 5-10 กิโลเมตร พบว่า 50% โดยเฉพาะถนนสายรองของท้องถิ่น 317 ราย (55%) โดยส่วนใหญ่ 87% เป็นรถจักรยานยนต์และเกือบทั้งหมดไม่สวมหมวกนิรภัย (ไปใกล้ๆ แค่นี้เอง)

นพ.ธนะพงศ์ จึงเสนอว่า ควรมีมาตรการ “เข้ม” ในระดับชุมชน หมู่บ้านให้มากที่สุด อาทิ เข้มการกำหนดให้เจ้าของงานต้องมีมาตรการกำกับขายเหล้าให้เด็ก ไม่ให้คนเมาไปขับขี่ เข้ม-การกวดขันป้องปราม เช่น จ.มหาสารคาม มีมาตรการปักหมุดวงสุรา เข้ม-กรณีถูกจับ นายอำเภอมีมาตรการมิให้ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ใช้ตำแหน่งไปประกันตัว เป็นต้น และในระยะยาวนอกจากเสริมการบังคับใช้กฎหมายด่านตรวจเมาขับแล้ว ยังต้องมุ่งเน้นไปใกล้บ้าน ตั้งแต่ต้นน้ำ ทั้งการสื่อสาร การรณรงค์ผลกระทบและความห่วงใย (ดื่มขับคนข้างหลังเป็นห่วง) รวมถึงการมีมาตรการป้องปรามในร้านเหล้า ผับบาร์ มีระบบการตรวจคัดกรองคนเมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การมีเครื่องเป่าตรวจประจำร้านให้ลูกค้าใช้งาน เหล่านี้จะเป็นมาตรการชุด package ที่จะเอื้อและเสริมให้ปัญหาดื่มแล้วขับ หรือเมาขับ ลดลงได้ในระยะยาว

ขณะที่ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย อดีตรองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ก็ระบุว่า ข้อมูลด้านความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทยจากระบบบูรณาการข้อมูลการตายจากอุบัติเหตุทางถนน (ข้อมูล 3 ฐาน) พบว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ในปี 2567 มากถึง 17,477 ศพ เฉลี่ยวันละประมาณ 48 ศพ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นช่วงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง สาเหตุจากการดื่มสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากในแต่ละปี ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่สะท้อนถึงความสูญเสียของครอบครัวและสังคมอย่างประเมินค่าไม่ได้ พร้อมย้ำว่า อุบัติเหตุจาก “ดื่มแล้วขับ หรือเมาแล้วขับ” เป็นเรื่องที่สามารถป้องกันได้ ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน

การรณรงค์ “ดื่มไม่ขับ” ต้องเริ่มจากความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล รวมถึงบทบาทของครอบครัว และชุมชน หลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหลังดื่มสุรา หากมีการดื่มควรใช้รถสาธารณะ ให้เพื่อนที่ไม่ดื่มเป็นผู้ขับ พร้อมขอความร่วมมือไปยังเพื่อนและคนใกล้ชิดไม่สนับสนุนให้ผู้ที่ดื่มแล้วไปขับรถ เพราะการเตือนหรือห้ามปรามเพียงครั้งเดียว อาจช่วยรักษาชีวิตได้ นอกจากนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง รวมถึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหาร และสถานบริการ แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม งดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้ที่มีอาการมึนเมา การปฏิเสธการขายหนึ่งครั้งก็จะช่วยอีกหลายชีวิตที่ใช้รถใช้ถนน เพื่อร่วมกันลดความสูญเสียและสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่และตลอดทั้งปี

นางก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัญฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม (สสส.) กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ซึ่งมีวันหยุดยาวต่อเนื่อง เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและการเดินทาง ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง โดยเฉพาะจากการดื่มแล้วขับ สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย จึงรณรงค์ภายใต้แนวคิด “ดื่มแล้วขับ ไม่ได้ดับแค่คุณคนเดียว” เพื่อสะท้อนผลกระทบที่ไม่ได้เกิดกับผู้ขับขี่เพียงคนเดียว แต่ส่งผลต่อครอบครัวและคนรอบข้าง พร้อมเชิญชวนประชาชนเลือก “ดื่มไม่ขับ” เพราะการกลับบ้านอย่างปลอดภัยคือของขวัญที่มีค่าที่สุด

ข้อมูลยังพบว่าผู้เสียชีวิตจำนวนมากมักเกิดเหตุในระยะใกล้บ้าน ในรัศมีประมาณ 5–10 กิโลเมตรจากที่พักอาศัย สสส. จึงสนับสนุนการตั้ง “ด่านหวังดี” และ “ด่านชุมชนปากหวาน” ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อดูแลกันด้วยความห่วงใย พร้อมร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับและเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับกว่า 100 เครือข่ายทั่วประเทศ ร่วมตั้งด่านกับหน่วยงานภาครัฐในหลายพื้นที่ และเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี ที่วัดใกล้บ้าน” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระพันปีหลวง พร้อมทั้งเชิญชวนสถานประกอบการ โดยเฉพาะร้านอาหาร ร้านค้า และสถานบริการทุกประเภทร่วมป้องกันสกัดคนที่ดื่มแล้วขับลงถนน เป็นด่านสำคัญที่ช่วยสกัดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนน เนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่อการตัดสินใจและการขับขี่ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียชีวิตของผู้ขับขี่และผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ร่วมแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างบรรทัดฐานใหม่ “ดื่มไม่ขับ” ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนร่วมกันรับผิดชอบให้ทุกคนได้กลับบ้านปลอดภัย

นางสาวประภาวี เหมทัศน์ อดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 และผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้ยกข้อกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ว่า เป็นกฎหมายที่ เกิดจากการพูดคุยร่วมกันของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แน่นอนว่ามีหลายเรื่องที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะเพิ่มความเข้มงวด เพิ่มโทษปรับ แต่ก็มีหลายเรื่องที่ผ่อนปรนมากขึ้น แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่ พ.ร.บ.นี้ มอบให้ คือการทำงานร่วมกันและรับฟังกันและกันของภาครัฐ และฝ่ายรณรงค์ที่ช่วยดูแลในผลกระทบหลายๆ อย่างที่เกิดจากผู้ดื่มและผู้ขายที่ไม่รับผิดชอบ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเป็นไปอย่างสมดุลและมีประโยชน์กับทุกฝ่ายจริงๆ

“ที่ร้านของเราให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก ไม่มีใครอยากให้ลูกค้าเราดื่มแล้วออกไปสร้างความเดือดร้อน ทางเราได้ร่วมกับ U Drink I Drive ตั้งบูธเพื่อให้บริการลูกค้าที่ดื่มแล้วต้องการคนช่วยขับรถกลับบ้าน เรามีบริการเรียกรถ Grab, Line ให้ลูกค้า รับฝากรถโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย มีกล้องวงจรปิดที่เห็นที่จอดรถทุกมุม ที่สำคัญ เราเทรนพนักงานของเราให้เช็คอาการลูกค้าก่อนกลับบ้าน และเสนอบริการต่างๆ ที่กล่าวมาให้ลูกค้าเพื่อป้องกันโอกาสเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องเมาแล้วขับที่พวกเราผู้ประกอบการอยากช่วยกันลด ใน พ.ร.บ. ใหม่ มีมาตรา 29 ที่ให้ทางผู้ประกอบการสามารถขอตรวจบัตรประชาชน และปฏิเสธการเสิร์ฟการขายแก่ผู้ที่มึนเมาเกินไปได้”

นางสาวประภาวี เชื่อว่าผู้ประกอบการทุกคนอยากให้ธุรกิจของตัวเองอยู่รอด แต่อย่าลืมว่า อยู่รอดแล้วต้องยั่งยืนด้วย การใส่ใจตรวจบัตร หยุดเสิร์ฟคนเมา ช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการดื่มที่ดี และช่วยลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงผู้ดื่มทุกท่าน ดื่มแต่พอดี ดื่มแบบมีสติ นอกจากจะไม่เดือดร้อนผู้อื่นยังไม่ทำลายสุขภาพตัวเองมากเกินไปด้วย

ข้ามมาที่ภาคประชาชน อย่าง นายวิเชียร พรหมสุข ประธานชุมชนชาวสวนสัมพันธ์ เขตจอมทอง และแกนนำเครือข่ายชุมชนลดปัจจัยเสี่ยง เล่าถึงประสบการณ์ว่า การตั้งด่านหวังดีกันในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ถึง 1 มกราคม 2569 ช่วงกลางคืน ในจุดของเราจะมีไฟไซเรน ป้ายรณรงค์ กระบองไฟ มองเห็นได้ชัดเจน มียาดม ชารางจืด สื่อประชาสัมพันธ์ อุปกรณ์ปฐมพยาบาลและยาสามัญ และสร้างความเข้าใจกับคนในชุมชนและร้านค้าในชุมชนด้วย ด่านหวังดีไม่มีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ แต่จะช่วยสังเกตอาการมึนเมาและเน้นตักเตือนบอกกล่าวให้แวะพักก่อนด้วยความห่วงใย เป็นมาตรการป้องปรามไม่ให้คนเมาออกสู่ท้องถนน และเป็นจุดเฝ้าระวังในชุมชนเรื่องการลักขโมย ป้องกันปัญหาต่างๆ ได้ บ้านไหนไม่มีคนอยู่เขาก็ฝากบ้านไว้กับเราได้

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มได้ แต่ต้องรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้อื่น แม้ดื่มเพียงเล็กน้อย ก็ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top