บทความพิเศษ : โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน 5 ปีกับความสูญเสียของการไม่ตัดสินใจของ 3 รัฐบาล

บทความพิเศษ : โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน 5 ปีกับความสูญเสียของการไม่ตัดสินใจของ 3 รัฐบาล

วันอังคาร ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 21.30 น.
Tag :

โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) เป็นโครงการใหญ่ที่มีความสำคัญกับประเทศ เป็นโครงการพัฒนาระบบรางระดับชาติตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ความสำคัญของโครงการมิใช่เพียง “โครงการคมนาคม” 
แต่คือ “เครื่องยนต์โครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคตของประเทศ” ที่จะกำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า เป็นรากฐานของมหานครเศรษฐกิจใหม่ การเป็น Hub การบินระดับภูมิภาค และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจมูลค่าสูงอย่างยั่งยืน เป็น “โครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ของชาติ” ที่มีบทบาทเป็นแกนกลางในการยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว ทั้งในมิติการลงทุน เศรษฐกิจ โลจิสติกส์อุตสาหกรรม และความมั่นคงทางการพัฒนา

ความสำคัญของโครงการ 3 ประการ ได้แก่


ประการแรก โครงการนี้เป็นเครื่องมือหลักในการสร้าง “Mega Economic Corridor” โดยเชื่อมพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ช่วยลดเวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่อู่ตะเภา เหลือไม่ถึง 1 ชั่วโมง ทำให้พื้นที่ 3 จังหวัดใน EEC เปลี่ยนสถานะจาก “พื้นที่อุตสาหกรรม” เป็น “มหานครเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ” ที่สามารถรองรับสำนักงานภูมิภาค บริษัทข้ามชาติ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง และเมืองนวัตกรรมได้จริง

ประการที่สอง ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลกอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีรถไฟความเร็วสูง เป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางราง ก่อให้เกิด Airport Network ที่มีศักยภาพรองรับผู้โดยสารรวมกว่า 200 ล้านคนต่อปี กลายเป็น Hub การบินระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วยดึงดูดสายการบิน ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) โลจิสติกส์ทางอากาศ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องเข้าสู่ประเทศในระยะยาว

ประการที่สาม “โครงสร้างพื้นฐานหลักของการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทย” จากเศรษฐกิจที่พึ่งพาการผลิตต้นทุนต่ำ ไปสู่เศรษฐกิจมูลค่าสูง (Value-based Economy) การตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาค การขยาย Smart City และการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve อีกทั้งลดต้นทุนทางเศรษฐกิจจากความแออัด การใช้รถยนต์ และการปล่อยคาร์บอนในระยะยาว รถไฟความเร็วสูงเป็นระบบขนส่งที่ใช้พลังงานต่อหัวต่ำกว่ารถยนต์และเครื่องบินระยะสั้น ช่วยสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ของประเทศ พร้อมทั้งลดค่าใช้จ่ายทางอ้อมจากอุบัติเหตุ การสูญเสียเวลา และมลพิษทางอากาศ

ที่มาของโครงการ

รถไฟฟ้าในเมือง หรือรถไฟ แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ARL) ขาดทุนต่อเนื่องประมาณ 300 ล้านบาทต่อปีเป็นหนี้กว่า 16,000 ล้านบาท แถมต้องการขยายโครงการ ARL เพื่อเชื่อมต่อพญาไทไปบางซื่อ ซึ่งมีอยู่ในแผนแม่บทรถไฟฟ้าของ กระทรวงคมนาคม ตั้งแต่ปี 2542 โดยต้องมีเงินลงทุนประมาณ 42,000 ล้านบาท และ พัฒนา EEC ทดแทน อีสเทิร์นซีบอร์ดพร้อมสนามบิน แห่งที่ 3 ท่าอากาศยานอู่ตะเภา มาใช้ประโยชน์เพื่อลดความแออัดของสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ โดยให้สนามบินอู่ตะเภาเป็นเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นประตูเชื่อมโลกกับ EEC พร้อมมีศูนย์ซ่อมอากาศยานทันสมัยและเมืองการบิน

1.ประมูลอย่างชอบธรรม รัฐได้ประโยชน์จากราคาต่ำ

เพราะโครงการฯ เป็นการคัดเลือกเอกชนแบบเปิดกว้าง (หรือ International Bidding) มีข้อกำหนด (TOR) ที่เปิดให้เอกชนในประเทศและต่างประเทศสามารถเข้าร่วมประมูลได้ และการประมูลได้ปฏิบัติตามกฎหมายหลายฉบับอย่างเคร่งครัด เช่น ประกาศคณะกรรมการนโยบาย EEC พ.ศ. 2560 ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2554 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) และกฎหมายอื่นๆ แถมเครือซีพี (บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด) โดย บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ประมูลต่ำกว่าอีกราย ประหยัดงบประเทศกว่า 90,000 ล้านบาท

2.การใช้ที่ดิน 140 ไร่ บริเวณมักกะสัน : สัญลักษณ์ประเทศแห่งใหม่และปลดหนี้ ร.ฟ.ท.พื้นที่มักกะสัน 140 ไร่ มิใช่เพียงที่ดินผืนหนึ่งของการรถไฟฯ หากแต่เป็น “เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดของโครงสร้างพื้นฐานไทย” เพราะตั้งอยู่บนจุดตัดของระบบคมนาคมหลักของประเทศ ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงรถไฟฟ้า ARL และ MRT จึงเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็น“มหานครเศรษฐกิจใหม่ใจกลางประเทศ”แถม ร.ฟ.ท. มีแผนพัฒนาพื้นที่450 ไร่ ถึงราชปรารถ เพื่อนำรายได้มาชำระหนี้ ร.ฟ.ท. และย้ายโรงซ่อมรถไฟเดิมที่มักกะสันไป เขาชีจรรย์ จึงเป็น New CBD Central Business District ทำให้เกิดเมืองใหม่ ที่เหมาะสำหรับสำนักงานใหญ่บริษัทข้ามชาติ (Regional HQ) ศูนย์การเงิน-ฟินเทค-AI ศูนย์นวัตกรรม-R&D และ Smart City ระดับโลก ซึ่งสีลม-สาทร-อโศก ไม่สามารถขยายรองรับบทบาทนี้ได้อีกแล้ว โดยมักกะสันจะรับบทบาทประตูเศรษฐกิจ ให้นักลงทุนที่สามารถเข้าสู่ New CBD ภายใน 50 นาที เพิ่มมูลค่าที่ดิน การลงทุน และ การตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยแบบก้าวกระโดด การพัฒนามักกะสันให้เป็น TOD (Transit-Oriented Development) จึงไม่ใช่แค่โครงการอสังหาฯ แต่คือ เครื่องยนต์ GDP ตัวใหม่ของประเทศ

3.นำทรัพย์สินของรัฐทำประโยชน์ด้วยความสามารถของเอกชน : สัญญาเช่าที่ดินมักกะสัน 140 ไร่ ระยะเวลา 50 ปี ภายใต้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3 สนามบิน มิใช่เพียงการให้เอกชนเช่าที่ดิน แต่เป็น “โครงสร้างรายได้ถาวรของรัฐ”ที่เปลี่ยนที่ดินรกร้างของรัฐให้กลายเป็นสินทรัพย์สร้างรายได้ระดับประเทศ โดยไม่ต้องขายทรัพย์สินชาติและไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน รัฐจะได้รับค่าเช่าพื้นฐานรายปี (Guaranteed Rent) ส่วนแบ่งรายได้จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ (Revenue Sharing กลายเป็น “รายได้ แผ่นดินประจำ” ที่ไหลเข้าทุกปี ไม่ผันผวนตามการเมือง เมื่อครบ 50 ปีรัฐได้รับคืน อาคาร ระบบสาธารณูปโภคเมือง Smart CBD ทั้งผืนแปลว่ารัฐได้ “เมืองใหม่ทั้งเมือง” ฟรี

4.ผลตอบแทนต่อประเทศระยะยาว

ผลการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจตลอดทั้งโครงการประมาณ 819,662 ล้านบาท (มูลค่าปัจจุบัน) โดยแบ่งเป็น 50 ปีแรก มีมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 446,960 ล้านบาท (มูลค่าปัจจุบัน) ซึ่งมากกว่าเงินลงทุนประมาณ 182,524 ล้านบาท (มูลค่าปัจจุบัน)จึงถือว่าเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุน โดยเมื่อครบ 50 ปี แล้วยังมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจนสิ้นอายุของโครงการอีกอย่างน้อย 300,000 ล้านบาท(มูลค่าปัจจุบัน) ซึ่งจะตกเป็นของรัฐบาล

5.บูมเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC)

เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เป็นนโยบายรัฐบาลที่มีเจตนารมณ์ในการดำเนินการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออก ในหลายๆ มิติให้เป็นระบบสอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการประกอบพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทันสมัย สร้างนวัตกรรม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศเพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง กับดักความเหลื่อมล้ำ และกับดักความไม่สมดุลในการพัฒนา

ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือที่มาที่ไปและความสำคัญของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งประชาชนที่จะได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินมิใช่เพียง “โครงการคมนาคม” แต่คือ “เครื่องยนต์โครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคตของประเทศ” ที่จะกำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า เป็นรากฐานของมหานครเศรษฐกิจใหม่ แล้วใย รัฐบาลแล้วรัฐบาลเล่า จึงทิ้งประโยชน์ประเทศ ให้เคราะห์กรรมตกแก่ประชาชน แถมวันนี้ ธนาคารไม่ปล่อยกู้เพราะพิษโควิดยังตามหลอกหลอนธนาคาร การแก้ไขสัญญาโดยไม่ได้ทำให้รัฐจ่ายมากกว่าราคาประมูล แถมประชาชนได้ประโยชน์จากการพัฒนา 3 รัฐกลับไม่ทำ เดี๋ยวประชาชนลุกขึ้นฟ้อง ป.ป.ช. ว่ากลัวแต่คำว่าเอื้อประโยชน์เอกชนหรือกำลังทำให้รัฐและประชาชนเสียประโยชน์ จะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งอาจทำให้ประชาชนตั้งคำถามได้

ท้ายที่สุด หากพรรคการเมืองที่กำลังลงสู่สนามการเลือกตั้งผลักดันให้โครงการนี้เป็นนโยบายหาเสียงก็จะเป็นแต้มต่อสำคัญของการแข่งขันเชิงนโยบาย อันเป็นคุณูปการต่อประเทศ เป็นวาระแห่งชาติ วาระเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top