‘แกล้งดิน’หนึ่งในโครงการพระราชดำริ
ช่วยเหลือราษฎรให้ใช้ประโยชน์ที่ดินทำกินได้อีกครั้ง
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว จังหวัดนราธิวาสใต้สุดของประเทศไทย เกษตรกรในพื้นที่ประสบปัญหาเรื่องการทำมาหากินอย่างมาก เนื่องจากสภาพพื้นที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำน้ำขังตลอดปี หรือที่เรียกว่า พื้นที่พรุ เมื่อระบายน้ำออกจะแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด เพราะสารไฟไรท์ที่มีอยู่ในดินทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศและปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมามากจนถึงจุดที่เป็นอันตรายต่อพืชที่ปลูก หรือทำให้ผลผลิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด จึงจำเป็นต้องละทิ้งที่ดินให้รกร้างเปล่าประโยชน์ กระทบต่อความเป็นอยู่
จนกระทั่งเมื่อความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานและทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในภาคใต้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้ทรงทราบถึงความเดือดร้อนของราษฎร ทรงได้พระราชทานพระราชดำริให้ก่อตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ขึ้นที่จังหวัดนราธิวาสเมื่อปี 2524 เพื่อเป็นศูนย์รวมกำลังของเจ้าหน้าที่ด้านเกษตรและที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในการศึกษา ปรับปรุงแก้ไขปัญหาพื้นที่พรุให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง ตลอดจนด้านอื่นๆ ควบคู่กันไป
นางสายหยุด เพ็ชรสุข ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง กล่าวว่า ภารกิจหลักของศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง คือ การศึกษา ค้นคว้า วิจัย เพื่อหารูปแบบในการพัฒนาพื้นที่พรุเพื่อใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตร โดยงานวิจัยหลักๆ คือการปรับปรุงดิน เนื่องจากดินในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสจะเป็นพื้นที่ดินพรุและดินเปรี้ยวจัด ไม่สามารถใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้ ซึ่งทางศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง ได้ทำการศึกษา วิจัยและปรับปรุงดิน “แกล้งดิน” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำริในวันที่ 16 กันยายน 2527 เกี่ยวกับเรื่องแกล้งดิน ความว่า “...ให้มีการทดลองทำดินให้เปรี้ยวจัดโดยการระบายน้ำให้แก้ง และศึกษาวิธีการแกล้งดินเปรี้ยว เพื่อนำผลไปแก้ปัญหาดินเปรี้ยวให้แก่ราษฎรที่มีปัญหาเรื่องนี้ ในเขตจังหวัดนราธิวาส โดยให้ทำโครงการศึกษาทดลองในกำหนด 2 ปี และพืชที่ทำการทดลองควรเป็นข้าว...”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองได้ดำเนินงานศึกษาทดลองอย่างต่อเนื่องในโครงการแกล้งดิน แบ่งเป็นช่วงต่างๆ ตามพระราชดำริ คือ ช่วงที่ 1 เป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของดิน เปรียบเทียบระหว่างดินที่ปล่อยทิ้งไว้ตามธรรมชาติกับดินที่ทำให้แห้งและเปียกสลับกัน โดยวิธีการสูบน้ำเข้า-ออก การทำดินให้แห้งและเปียกสลับกันเพื่อเร่งให้เกิดปฏิกิริยา ดินจะเป็นกรดรุนแรง และมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืช พบว่าข้าวสามารถเจริญเติบโตได้แต่ให้ผลผลิตต่ำ ช่วงที่ 2 เป็นการศึกษาช่วงระยะเวลาระหว่างการทำให้ดินแห้งและเปียกแตกต่างกัน ช่วงระยะเวลาใดที่ทำให้เกิดความเป็นกรดมากกว่า ซึ่งพบว่าการปล่อยให้ดินแห้งนานมากขึ้น ความเป็นกรดจะรุนแรงมากกว่าการให้น้ำแช่ขังดินนานๆ และการให้น้ำหมุนเวียนโดยไม่มีการระบายออกทำให้ความเป็นกรดและสารพิษสะสมในดินมากขึ้น ในการปลูกข้าวทดสอบความรุนรงของกรดพบว่าข้าวตายหลังจากปักดำได้ 1 เดือน
สำหรับช่วงที่ 3 เป็นการศึกษาถึงวิธีการปรับปรุงดิน โดยใช้น้ำชะล้างความเป็นกรด ใช้น้ำชะล้างควบคู่กับการใช้หินปูนฝุ่น ใช้หินปูนฝุ่นอัตราต่ำ เฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของดินหลังจากที่ปรับปรุงแล้วปล่อยทิ้งไว้ไม่มีการใช้ประโยชน์ และศึกษาการเปลี่ยนแปลงของดินเปรี้ยวจัดเมื่ออยู่ในสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้ พบว่าวิธีการใช้น้ำชะล้างดิน โดยขังน้ำไว้นาน 4 สัปดาห์ แล้วระบายออกควบคู่กับการใช้หินปูนฝุ่นปริมาณน้อย สามารถปรับปรุงดินเปรี้ยวจัดได้เป็นอย่างดี ส่วนดินที่มีการปรับปรุงแล้วหากปล่อยทิ้งไว้ไม่มีการใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องจะทำให้ดินกลับมาเป็นกรดจัดรุนแรงขึ้นอีก ส่วนพื้นที่ดินเปรี้ยวจัดตามธรรมชาติที่ไม่มีการปรับปรุงการเปลี่ยนแปลงของความเป็นกรดน้อยมาก โดยปัจจุบันอยู่ในช่วงที่ 4 คือการศึกษาการใช้จุลินทรีย์เขามาร่วมในการแก้ปัญหาดินเปรี้ยวจัด
นางสายหยุด กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการศึกษาโครงการแกล้งดินตามพระราชดำริอย่างต่อเนื่อง จนได้แนวทางการแก้ปัญหาดินเปรี้ยวจัดในพื้นที่นาข้าว สามารถนำไปถ่ายทอดสู่เกษตรกรให้กลับมาทำนาได้อีกครั้ง แถมผลผลิตก็เพิ่มขึ้นหรืออาจจะเทียบเท่ากับพื้นที่ที่ไม่มีปัญหาดิน ดังนั้น ต่อมาจึงได้ขยายผลไปยังพืชผัก พืชไร่ ไม้ผลชนิดต่างๆ ทำให้ปัจจุบันสภาพพื้นที่ของจังหวัดนราธิวาสที่เคยประสบปัญหาดินเปรี้ยวจัดก็เปลี่ยนแปลงไป สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร สร้างรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดี แม้เราจะมีทฤษฎีการแก้ปัญหาดินเปรี้ยวจัดอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาดินเปรี้ยวจัดได้อย่างถาวร เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่เป็นตัวแปร แต่เราสามารถปรับปรุงดินให้ดีขึ้นและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ทั้งนี้ หากเกษตรกรที่ประสบปัญหาสามารถเข้ามาศึกษาดูงานได้ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง หรือศูนย์สาขาได้ เพื่อจะได้มีที่ดินทำกินสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้เพิ่มขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี