‘เดียร์’รับสารภาพสิ้นไส้
ร่วมแก๊งบึ้ม
เป็นคนจัดหามือระเบิด
เผย‘เอนก’ให้สัญญาใจ
จบงานพาไปออสเตรเลีย
แจ้ง‘แหวน’หมิ่นสถาบัน
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 18 มีนาคม เจ้าหน้าที่ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 11 รักษาพระองค์ ควบคุมตัว นางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์ และนายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยสิริ หรือเจต ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารในคดีร่วมกันก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ในคดีร่วมกันขว้างระเบิดใส่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา ส่งให้พนักงานสอบสวนสวน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เพื่อสอบปากคำและแจ้งข้อหา โดยใช้รถตู้ 2 คัน
สอบปากคำ“เดียร์”เข้มข้น
จากนั้นเวลา 13.00น.พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) นำกำลังคุมตัว นางสุภาพรและนายเจษฎาพงษ์ มาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) สอบปากคำ โดย นางสุภาพร สวมเสื้อสีแสด กางเกงขาวยามสีดำ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงประกบตัวตลอดเวลา ขณะที่นายเจษฎาพงษ์ สวมเสื้อเชิ้ตและสวมแจ็คเกตสีดำทับ ทั้งสองสีหน้าอิดโรย จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหา สอบประวัติและแยกสอบปากคำทั้งคู่ โดยการสอบสวนนางสุภาพร เป็นไปอย่างเข้มข้น ก่อนควบคุมตัวนำฝากขังศาลทหารต่อไป
ผู้ต้องหายังหลบหนีอีก2ราย
ต่อมา พล.ต.อ.สมยศ พร้อมด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.ศรีวราห์ พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง รองผบช.น. ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล6 (ผบก.น.6)ร่วมแถลงข่าว โดย พล.ต.ต.ชยพล กล่าวว่า วันนี้ทหารได้นำตัวนางสุภาพร และนายเจษฎาพงษ์ ซึ่งครบกำหนดควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกส่งมอบให้พนักงานสอบสวน แล้ว หลังจากส่งมอบผู้ต้องหาในขบวนการคนอื่นๆ ให้แล้ว 11 คน รวมเป็น 13 คน ยังมีผู้ต้องหาตามหมายจับอยู่ในการควบคุมของทหาร 2 ราย คือ นายวสุ เอี่ยมลออ ซึ่งมีหมายจับข้อหาร่วมกันก่อการร้าย และนายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ และยังหลบหนีอีก 2 ราย คือ นายมนูญ ชัยชนะ หรืออเนก ซานฟราน ผู้บงการและผู้จ้างวาน และ นายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือใหญ่ พัทยา ผู้ร่วมวางแผนและจัดหาระเบิด
พบ“เดียร์”รับเงินค่าวางบึ้ม
พล.ต.ต.ชยพล กล่าวว่า การก่อเหตุระเบิดของขบวนการนี้แบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรก ในเดือนกุมภาพันธ์ มีเป้าหมายวางระเบิด 5 จุดใน กทม. ประกอบด้วย ศาลอาญา สวมลุมพินี สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินจตุจักร กรมทหารราบ 11 รอ.และลานจอดโรงแรมสยามเคมปินสกี แต่มีการยกเลิกภารกิจ และมีการวางแผนใหม่ เป็นครั้งที่2 ในเดือนมีนาคม คือการปาระเบิดที่ศาลอาญา โดยนางสุภาพร หรือเดียร์ จัดว่าเป็นกลุ่มทุนหัวใจสำคัญในประเทศไทย มีนายอเนก ซานฟราน เป็นกลุ่มทุนสำคัญในต่างประเทศ สนับสนุนทางการเงินจากต่างประเทศ พบมีการโอนเงินให้กัน ครั้งแรกโอนให้ 50,000 บาทก่อนจะให้ลงมือ ส่วนครั้งที่ 2 โอนผ่านบัญชี นายธราเทพ มิตรอารักษ์ ลูกชายนางเดียร์ 50,000 บาท เพื่อให้นำไปเยียวยาครอบครัวของคนที่ถูกจับ โดยเหตุที่นางเดียร์ไม่ให้โอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง อ้างว่าไม่มีบัญชีธนาคาร มีเพียงบัญชีของอดีตสามีซึ่งหย่าร้างไปแล้ว อีกทั้งสามียังมีคดีติดตัวอีกด้วย จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับเงิน
สัญญาดูแลลูก-พาไปตปท.
“ส่วนเหตุจูงใจนั้น นางสุภาพรให้การว่า นายอเนก รับปากว่าจะเลี้ยงดูบุตรชาย 2 คน ของตนเอง และหากดำเนินการตามสั่งแล้วเสร็จจะพาไปทำงานเก็บองุ่นที่ประเทศออสเตรเลีย โดยเหตุหลักที่ร่วมมือกันก่อเหตุเพราะมีอุดมการณ์การเมือง สอดคล้องกัน โดยนายอเนก นั้นอยู่ในต่างประเทศมีอุดมการณ์ต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน และต่อต้านสถาบันฯ ทั้งนี้การติดต่อใช้ของกลุ่มนี้ใช้ช่องทางไลน์ และโซเชียลมีเดียต่างๆ บางคนไม่รู้จักกัน ไม่เคยพบกันด้วยซ้ำ เพียงแต่ติดตามกันทางโซเชียลมีเดียด้วยมีอุดมการณ์ แนวคิดสอดคล้องกัน” พล.ต.ต.ชยพล กล่าว
แฉเป็นแกนนำกลุ่มการเมือง
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า นางสุภาพร นั้นมีประวัติเป็นระดับแกนนำในกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่อยากระบุชัดเจนว่ากลุ่มไหน เป็นความขัดแย้งในอดีต นางสุภาพร เป็นแกนนำระดับสำคัญที่มีบทบาทและได้รับการยอมรับพอสมควร ที่ผ่านมาหน่วยความมั่นคงเคยขึ้นบัญชี มีข้อมูลอยู่ เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่มีหลักฐานหรือสิ่งบ่งชี้ว่ากระทำความผิด ขณะที่ผู้ต้องหาบางคนในกลุ่มนี้ เช่นนายมนูญ นั้นมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 112 ฐานหมิ่นสถาบันฯ แต่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าตำรวจและทหารดำเนินคดีตามกฎหมายและพยานหลักฐานที่ปรากฏ ตำรวจไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับกลุ่มใด โดยทั้งหมดเกิดจากคำให้การของผู้ต้องหาทั้งสิ้น ส่วนเหตุจูงใจให้กระทำความผิดนั้น มีหลายประการ นอกจากค่าจ้างแล้ว ยังมีเรื่องแนวคิดทางการเมืองที่เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งถูกหลอก ถูกชักจูง
ผบ.ตร.ยันทำตามหลักฐาน
เมื่อถามว่า กรณีที่มีการโยงถึง น.ส.ณัฏฐธิดา หรือแหวน ซึ่งเป็นพยานสำคัญในคดี สังหาร 6 ศพ ที่วัดปทุมฯ ผบ.ตร.กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน คำให้การผู้ต้องหา ตัวของ น.ส.ณัฏฐธิดา นั้นเราไม่เคยเอาเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อนางสุภาพร ให้การว่าติดต่อผ่าน น.ส.ณัฏฐธิดาไปถึงนายสุรพล ชื่อของ น.ส.ณัฏฐธิดา จึงปรากฏในสำนวนการสอบสวน และเมื่อเป็นสิ่งผิดกฎหมาย จึงต้องดำเนินการตามกระบวนการ ส่วนจะบังเอิญพอเหมาะพอดีเกินไปหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถกะเกณฑ์กำหนดได้ ยืนยันว่าพนักงานสอบสวนทำตามพยานหลักฐาน และหากซัดทอดไปถึงใครที่มากกว่านี้พนักงานสอบสวนก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน
เดินหน้าขอตัวผู้ร้ายข้ามแดน
ผบ.ตร.กล่าวว่า จากกรณีนี้ จะเห็นได้ว่า ขบวนการดังกล่าว แบ่งชุดทำงานเป็น 2 กลุ่ม แต่จ้างวานโดยนายอเนกเพียงคนเดียว แต่ไม่ทราบว่าเหตุที่สยามพารากอนจะเป็นนายอเนก ที่ไปจ้างอีกกลุ่มหรือไม่ จนกว่าจะจับกุมแล้วสอบสวนขยายผล ทั้งนี้ ในอดีต เคยพยายามขอตัวนายอเนก จากสหรัฐฯ แล้ว ในความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่เนื่องจาก สหรัฐ ไม่มีความผิดข้อหาดังกล่าวในสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่ขณะนี้ นายอเนกมีหมายจับในข้อหาก่อการร้าย ซึ่งไทยและสหรัฐมีสนธิสัญญาส่งผุ้ร้ายข้ามแดนร่วมกัน โดยจากนี้พนักงานสอบสวนจะดำเนินการทำตามขึ้นตอน ส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป โดยติดต่อผ่านอัยการให้ตรวจสำนวน ก่อนส่งกลับกองการต่างประเทศ ส่งต่อกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่นำเข้าสู่กระบวนการขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป ซึ่งไทยกับสหรัฐฯ มีความสันพันธ์ที่ดีต่อกัน
ระบุรายอื่นต้องรอผลสอบ
เมื่อถามว่าแกนนำทางการเมืองคนอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน มีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ขณะนี้สามารถมาเปิดเผยได้เพียงเท่านี้ สำหรับคนอื่นๆ ต้องรอผลการสอบสวนก่อน หากพบความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงที่เป็นความผิดก็ต้องดำเนินการขอนุมัติหมายจับต่อไป เช่นเดียวกับกรณีที่มีการพาดพิงถึง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.สส.และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีต ผบช.น. หากไม่พบพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงแล้วมีความผิด จนสามารถขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับกุมได้ ก็ยังไม่ถือว่าเกี่ยวข้อง หากหลักฐานจนนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับต่อศาลได้ ก็ไม่สามารถละเว้นได้ ทั้งนี้ เนื่องจากทั้ง 2 ท่านเป็นบุคคลมีชื่อเสียง จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนต้องเชิญมาให้ปากคำหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพนักงานสอบสวน
ทนาย“แหวน”ขอสอบคดีใหม่
ด้าน นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) ให้สัมภาษณ์ถึงการช่วยเหลือ น.ส.ณัฏฐธิดา ว่า ทีมทนายความกำลังพิจารณาร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานสอบสวนและผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีให้ทำการสอบสวนใหม่ หรือทำการสอบสวนเพิ่มเติม เนื่องจากเห็นว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรืออาจมีบางกระบวนการที่จะส่งผลต่อการสอบสวนได้ ทั้งนี้ ตามหลักฐานที่เกิดขึ้นนั้นเชื่อว่าไม่เพียงพอ เนื่องจากว่าการกล่าวหาด้วยข้อหาร้ายแรง เป็นการกล่าวหาที่ทางทนายความและผู้ต้องหาเห็นว่าเป็นการกล่าวหาที่เกินจริง
ทหารแจ้ง”แหวน”หมิ่นม.112
ต่อมา เวลา 15.30 น.ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการส่วนกฎหมายและมนุษยชน กอ.รมน.และคณะทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าพบ พ.ต.ท.ยุทธวัฒน์ กล่ำกล่อมจิตร์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.2.บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดี น.ส.ณัฏฐธิดา ในความผิดข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 พร้อมนำเอกสารการสอบปากคำ น.ส.ณัฎฐธิดา และข้อความที่มีโพสต์ในแอพลิเคชั่นไลน์ มามอบไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินคดี
สารภาพโพสต์หมิ่นสถาบัน
มีรายงานว่า จากการสอบปากคำ น.ส.ณัฏฐธิดา ให้การรับสารภาพว่า เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ได้นำข้อความที่มีผู้โพสต์ไว้ในแอพลิเคชั่นไลน์ของกลุ่ม “ไทยภาคี” ซึ่งเป็นข้อความที่เข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง มาโพสต์ต่อในกลุ่ม “DNP แอนด์ เพื่อนแม้ว” โดยกลุ่มไลน์ดังกล่าว มีนางสุภาพร หรือเดียร์ ร่วมอยู่ด้วย นอกจากนี้ น.ส.ณัฎฐธิดา ยังนำข้อความดังกล่าว ไปโพสต์ลงในกลุ่มไลน์ “GERRARD” อีกด้วย เหตุทั้งหมดเกิดขึ้นที่ห้องพักเลขที่ 11/16 อาคารที 2 คอนโดมิเนียมเมืองทองธานี ถนนป๊อบปูล่า ต.บ้านไทร อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ก่อนจะถูกจับกุมตัวในที่สุด ทั้งนี้ คาดว่าภายในวันที่ 19 มีนาคมนี้ จะมีการนำสำนวนการสอบสวนไปขออนุญาตศาลทหารกรุงเทพ เพื่อออกหมายจับกุมผู้ต้องหาต่อไป ก่อนจะสืบสวนขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี