นายคนิต ลิขิตวิทยาวุฒิ รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า แนวทางการกำหนดนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปี 2559 จะมุ่งไปในเรื่องที่จะทำให้เกษตรกรมีความยั่งยืน หลังจากที่ได้ดำเนินการเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแล้ว จากนี้ต้องเน้นให้ความสำคัญกับการเพิ่มทางออกตลาดโดยเฉพาะนโยบายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-PrivatePartnership หรือ PPP) ที่จะดึงภาคเอกชนที่เข้ามาทำตลาดควบคู่กับภาครัฐในพื้นที่แปลงใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพร้อมกับส่งเสริมเรื่องการตลาดควบคู่กันไป

ขณะนี้มีพืชผลทางการเกษตรหลายชนิดที่ได้ดำเนินการอยู่ ได้แก่ กาแฟ มันฝรั่ง ถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สินค้าดังกล่าวล้วนเป็นที่ต้องการของตลาดและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ เช่น มันฝรั่ง ที่ในแต่ละปีต้องนำเข้าพันธุ์มันฝรั่งจำนวนมาก จึงได้ร่วมมือกับภาคเอกชน อย่าง บริษัทเป๊ปซี่-โคล่า ฟริโต-เลย์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตมันฝรั่งทอดกรอบ มาช่วยส่งเสริมให้เกษตรกร หรือถั่วเหลือง ศักยภาพการผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงต้องมีการนำเข้าทั้งเมล็ดถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองจำนวนมาก ปีหนึ่งประมาณ 70,000 กว่าล้านบาท ก็ได้ร่วมมือกับ บริษัทกรีนสปอต จำกัด ผู้ผลิตน้ำนมถั่วเหลืองไวตามิ้ลค์ และบริษัทที่ผลิตพืชน้ำมันเข้ามาช่วยสนับสนุนเกษตรกร

เช่นเดียวกับสินค้ากาแฟ จะมีบริษัทเนสท์เล่ บริษัทมอคโคน่าและสมาคมกาแฟ จะเป็นผู้เข้ามาร่วมกับภาครัฐในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มโอกาสในการแข่งขันของเกษตรกรไทย ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะเกี่ยวโยงกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งการผลิตจะใกล้เคียงกับความต้องการของตลาด แต่ปัจจุบันต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าโดยเฉพาะเนื้อไก่ที่ต้องใช้ข้าวโพดในอุตสาหกรรมการผลิตเนื้อไก่ ประเทศผู้นำห่วงใยเรื่องการปลูกข้าวโพดในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์หรือบุกรุกป่าเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกได้ดังนั้น ภาครัฐจึงพยายามที่จะดึงภาคเอกชนโดยเฉพาะสภาหอการค้าเข้ามาช่วยสนับสนุน ซึ่งการดำเนินนโยบายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ PPP จะเป็นทางออกหนึ่งที่หนุนให้สินค้าเกษตรที่ยังผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการมีปริมาณและคุณภาพเพิ่มขึ้น ลดการนำเข้า ที่สำคัญยังช่วยเสริมทำให้ภาคเกษตรไทยมีความยั่งยืน