13 พ.ค.59 คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 2/2559 สรุปผลการดำเนินงานยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมให้แก่ พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ผ่านศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ สถานทูต และองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลก
โดยเนื้อหาแถลงการณ์ เรียกร้องขอความเป็นธรรมแก่ พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยระบุว่า การแจ้งข้อหาว่า กระทำความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจรนั้น ไม่เป็นธรรมกับผู้ที่อุปสมบทมาแล้ว 47 พรรษา และทำความดีมาทั้งชีวิต โดยได้ตั้งข้อสงสัย จำนวน 3 ข้อ พร้อมอธิบายเหตุผล
ในแถลงการณ์ระบุต่ออีกว่า ถึงแม้ ทางคณะศิษยานุศิษย์ ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมผ่าน "ศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ" เรียบร้อยแล้วนั้น แต่สถานการณ์ต่างๆ ยังไม่อาจจะปล่อยวางได้ จึงมีการจัดตั้ง "คณะทำงานเฉพาะกิจฯ" เพื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด และหากว่าปรากฏว่า ยังคงมีความพยายามผลักดันปฏิบัติการ สิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คณะศิษยานุศิษย์ฯ จะได้พิจารณาใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย เพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ต่อไป
ซึ่งรายละเอียดของแถลงการณ์มีดังนี้
ฉบับที่ 2/2559
เรื่อง สรุปผลการดำเนินงานยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมให้แก่พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ผ่านศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ สถานทูต และองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลก
ตามที่ "กรมสอบสวนคดีพิเศษ" หรือ DSI ได้ออกหมายเรียก "พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)" ในฐานะผู้ต้องหา โดยแจ้งว่า "หลวงพ่อธัมมชโย" ต้องหากระทำความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจรนั้น
"คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย" จึงมีความเห็นพ้องตรงกันว่าการกระทำดังกล่าว ถือเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อ "หลวงพ่อธัมมชโย" ที่อุปสมบทมา 47 พรรษา ทำความดีมาทั้งชีวิต สุขภาพก็ไม่ค่อยแข็งแรง อยู่ในช่วงปลายของชีวิต แต่ท่านกลับถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร ด้วยเหตุผลอันเกิดจาก เหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม นำมาสู่ข้อกังขาของคณะศิษยานุศิษย์ฯ ดังต่อไปนี้
1. คดีนี้เป็นการดำเนินคดีซ้ำซ้อน
เนื่องจากมีการกล่าวหา และสอบสวนโดยพนักงาน "กรมสอบสวนคดีพิเศษ" หรือ DSI ได้เดินทางมาสอบปากคำ "หลวงพ่อธัมมชโย" แล้วที่วัดพระธรรมกาย และได้ส่งสำนวน การสอบสวนทั้งหมดไปยังอัยการ ซึ่งอัยการได้พิจารณาไม่สั่งฟ้อง "หลวงพ่อธัมมชโย" แต่ภายหลังกลับมีการตั้งคดีใหม่ขึ้นมาในเรื่องเดิมที่ได้สอบสวนไปแล้ว และตั้งข้อหาใหม่ กับ "หลวงพ่อธัมมชโย" ว่าร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร ซึ่งถือเป็นการดำเนินคคีซ้ำซ้อน ขัดกับหลักกฎหมายที่ว่า "กรรมเดียวจะดำเนินคดีซ้ำซ้อนไม่ได้"
และในการดำเนินคดีซ้ำซ้อน ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดย "นายประกิต พิลังกาสา ประธานกรรมการบริหารแผนฟื้นฟูสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด" ได้แถลงข้อแท้จริงต่อสื่อมวลชนโดยสรุปว่า "บุคคลผู้กล่าวหาหลวงพ่อธัมมชโยในคดีซ้ำซ้อนนี้ มิได้เกี่ยวข้อง ในนามของสหกรณ์ฯ และสมาชิกอื่นแต่ประการใด จึงถือว่าการดำเนินการใดๆ ของบุคคลผู้นี้ ไม่มีผลผูกพันต่อสหกรณ์ฯ ผู้เป็นผู้เสียหายโดยตรงใดๆ ทั้งสิ้น" จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าทำไม? ผู้กล่าวหาและบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์ฯ จึงดูเหมือนพยายามจงใจดำเนินการและสื่อสารต่อสังคมว่าเป็นผู้แทนของสหกรณ์ฯ เพื่อดำเนินการให้พนักงานสอบสวน DSI มีการพิจารณาดำเนินคดีนี้ให้จงได้
อีกทั้งการตั้งข้อกล่าวหารับของโจรและฟ้องเงินกับ "หลวงพ่อธัมมชโย" ถือว่า ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เพราะความผิดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ "หลวงพ่อธัมมชโย" มีเจตนาทุจริตสมคบคิดกับ "นายศุภชัย ศรีศุภอักษร" นำเงินของสหกรณ์ฯ ออกมาเพื่อผลประโยชน์ของตนในทางทุจริต แต่พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแย้งกับสมมติฐานนี้โดยสิ้นเชิง เพราะ "หลวงพ่อธัมมชโย" รับบริจาคโดยสุจริตและเปิดเผย ท่ามกลางประชาชนชาวพุทธเรือนหมื่นเรือนแสน ตัวท่านเองก็ไม่เคยเห็นเช็คที่ถวายเลย เพราะเจ้าหน้าที่การเงินจะเป็นผู้รวบรวมเงินสดและเช็ค ที่มีผู้บริจาคไปเข้าธนาคาร และจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างศาสนสถาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของวัดตามเจตนาของผู้บริจาค ดังที่ได้เคยให้การไว้กับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ "DSI" แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น "หลวงพ่อธัมมชโย" ท่านไม่เคยเบิกเงินสดออกจากบัญชีของท่านเลย แม้แต่บาทเดียว เงินที่มีการบริจาคด้วยเช็คในกรณีนี้ ได้โอนผ่านบัญชีไปจ่ายบริษัทก่อสร้าง ใช้ในการก่อสร้างศาสนาสถานตามเจตนาของผู้บริจาคหมดแล้ว ไม่ได้ใช้ไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของท่านเลย ซึ่งมีเส้นทางทางการเงินที่ตรวจสอบได้ชัดเจน และหากจะพิจารณาต่อไปถึงผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาโดยรวม "หากหลวงพ่อธัมมชโยถูกดำเนินคดีต่อไป พระสงฆ์ทั่วประเทศ ก็อาจถูกตั้งข้อหารับของโจรจากผู้ไม่ประสงค์ดีได้โดยง่ายอีกด้วย"
2. กรณีการออกหมายเรียกพระเทพญาณมหามุนี ครั้งที่ 1
มีสิ่งผิดแปลกและชวนสงสัยอันไม่น่าเกิดขึ้น คือ มีสื่อมวลชนบางแห่งกลับได้รับ และนำหมายเรียกไปเผยแพร่สู่สาธารณชนอย่างรวดเร็วฉับไวก่อนที่หมายเรียกอย่างเป็นทางการดังกล่าวจะมาถึงมือของผู้ที่ต้องรับหมายตัวจริง คือ "หลวงพ่อธัมมชโย" ในวันรุ่งขึ้น
3. ในการขอเลื่อนหมายเรียกครั้งที่2
ถือเป็นปรากฏการณ์ที่คณะศิษยานุศิษย์ฯ มีความกังวลใจเป็นอย่างมาก อันส่งผลต่อ ความไม่เชื่อมั่นในหน่วยงานหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมที่กำลังดำเนินการเรื่องนี้ กล่าวคือ ทาง "DSI"ได้ออกหมายเรียก "หลวงพ่อธัมมชโย" ให้ไปพบพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา "ทนายความ" ผู้รับมอบอำนาจของ "หลวงพ่อธัมมชโย" จึงได้ยื่นหนังสือขอเลื่อนการมาพบพนักงานสอบสวนด้วยเหตุอาพาธ โดยมีใบรับรองแพทย์ ในเวลา 10.00 น. ของวันนั้น หลังจากพนักงานสอบสวนพิจารณาแล้ว จึงได้แจ้งกับทนายความในเวลา 11.30 น. ว่า "อนุญาตให้เลื่อนได้" โดยตกลงกันเป็นวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ทนายความจึงเดินทางกลับ และในวันเดียวกันช่วงเวลา 13.30 น. ทางพนักงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ "DSI" โทรศัพท์แจ้งมาว่า "ไม่อนุญาตให้เลื่อนและขอออกหมายจับ" โดยในวันรุ่งขึ้น ก็ได้ไปดำเนินการขอศาลออกหมายจับจริง โดยไม่มีการตรวจสอบใบรับรองแพทย์ หรือให้แพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ หรือ หน่วยงานกลางอื่นใด มาตรวจอาการของ "หลวงพ่อธัมมชโย" เลยว่าป่วยจริงหรือไม่? ทำไมพนักงานสอบสวนจึงเปลี่ยนคำพูด? ตอนแรกบอกว่า "ให้เลื่อน" แล้วกลับเปลี่ยนเป็น "ไม่ให้เลื่อน" แต่ขอออกหมายจับ กรณีนี้คณะศิษยานุศิษย์ฯ ต่างรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก
"สิ่งที่เชื่อถือได้มากกว่าคำพูด คือการกระทำ" โดยเฉพาะการกระทำตลอดชีวิต ของ "พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)" เป็นเครื่องยืนยันได้มากกว่าคำเล่าลือใดๆ ท่านบรรพชาอุปสมบทมาตั้งแต่ พ.ศ. 2512 และได้อุทิศชีวิตให้กับงานพระพุทธศาสนา มาโดยตลอดชีวิตของท่านจนถึงปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ "คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย" จึงได้หารือและมีข้อสรุปพ้องตรงกัน ในการร่วมภารกิจเพื่อตอบแทนพระคุณของครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณและทำความจริงให้ปรากฏ ด้วยการ "ยื่นหนังสือถึงหัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัดต่างๆ" โดยกระทำในภูมิลำเนาที่พักอาศัยของตนด้วยความสุภาพเรียบร้อยให้ทั่วถึงและเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดทั่วทั้งประเทศ ในส่วนของคณะศิษยานุศิษย์ฯ ที่พำนักอาศัยอยู่ภายนอกประเทศ ก็ได้พร้อมใจกันร่วมภารกิจดังกล่าวด้วยเป็นสามัคคีบุญ ด้วยการไป "ยื่นหนังสือต่อสถานทูตและองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลก" โดยมีวัตถุประสงค์การยื่นหนังสือเพื่อขอความเห็นใจและขอพึ่ง ให้ทาง "รัฐบาล" ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศ และ "คณะ คสช." ผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยของประเทศอยู่ในขณะนี้ ได้โปรดระงับและเข้ามาตรวจสอบขั้นตอนการดำเนินคดีของหน่วยงานหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมดังกล่าวข้างต้น เพื่อช่วยปกป้องให้ความเป็นธรรมแก่ "พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)" โดยคณะศิษยานุศิษย์ฯ ต่าง "เชื่อมั่นและศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม รัฐบาล รวมถึงคณะ คสช." ที่จะดำเนินการเรื่องนี้ให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและความถูกต้อง
ทั้งนี้ แม้การดำเนินการยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมผ่าน "ศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ" ได้ดำเนินการสำเร็จเสร็จบริบูรณ์ในเวลาดำเนินงานเพียงไม่กี่วันแล้ว แต่คณะศิษยานุศิษย์ฯ ยังคงมีความเห็นว่า สถานการณ์ต่างๆ ในห้วงเวลานี้ ยังไม่อาจจะปล่อยวางได้ จึงมีการจัดตั้ง "คณะทำงานเฉพาะกิจฯ" เพื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด และหากว่าปรากฏว่า บุคคลหรือหน่วยงานใดในกระบวนการยุติธรรม ยังคงมีความพยายามผลักดันปฏิบัติการ สิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คณะศิษยานุศิษย์ฯ จะได้พิจารณายกระดับการขอความเป็นธรรมให้ "หลวงพ่อธัมมชโย" ด้วยการขอใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย เพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 สืบไป
จึงแถลงการณ์มาเพื่อทราบข้อแท้จริงโดยทั่วกัน
ขอแสดงความนับถือ
คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2559
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี