กองโจร‘ไอ้โม่ง’บุกวัดดัง

ตัดพะยูง100ปี

หั่นเป็นท่อนใส่ปิกอัพ

ลำเลียงเผ่นหนีเย้ยกม.

เจ้าอาวาสโร่แจ้งความ

ชายฉกรรจ์กว่า 10 คน ไม่กลัวนรก สวมไอ้โม่งปิดบังใบหน้าขับกระบะไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนบุกตัดไม้พะยูงเก่าแก่กว่า 100 ปี ในวัดดังบุรีรัมย์ตอนตี 4 พระและชาวบ้านได้แต่ยืนมองไม่กล้า
เข้าห้ามหวั่นอันตราย ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ขนไม้หนีลอยนวล เจ้าอาวาสโร่แจ้ง ตร.เร่งล่าคนร้ายดำเนินคดีคาดตระเวนก่อเหตุหลายพื้นที่

เมื่อวันที่3 พฤศจิกายน ได้เกิดเหตุคนร้ายเป็นชายฉกรรจ์ประมาณ 15 คน สวมหมวกอีโม่งปิดบังใบหน้า ขับรถยนต์กระบะ 2 คัน ยี่ห้ออีซุซุ สีบรอนด์เทา ตอนเดียว และยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีฟ้า ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มาพร้อมเลื่อยยนต์และพกอาวุธปืนไม่ทราบชนิดครบมือ บุกเข้ามาภายในวัดบ้านหนองมะเขือ ม.14 ต.สะแกโพรง อ.เมืองบุรีรัมย์ ช่วงเวลาประมาณตี 4 ของวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนจะลงมือใช้เลื่อยยนต์ตัดโค่นต้นพะยูงเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ขนาดใหญ่สูงกว่า 10 เมตร ที่อยู่ข้างศาลาการเปรียญ โดยขณะลงมือตัดจะมีชายฉกรรจ์ถือปืนคุมเชิงบริเวณประตูเข้า-ออกวัด 2 คน และใกล้กับบริเวณที่ตัดอีก 2 คน ซึ่งขณะแก๊งคนร้ายทำการลักลอบตัดต้นพะยูงภายในวัด ก็มีทั้งพระ ช่างที่มาก่อสร้างซุ้มประตู และคนงานที่มาขอพักอาศัยในศาลาวัดใกล้กับจุดเกิดเหตุกว่า 10 คนก็เห็นเหตุการณ์ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามปรามกลุ่มแก๊งดังกล่าว เพราะเกรงจะได้รับอันตรายเนื่องจากกลุ่มคนร้ายมีอาวุธครบมือ

โดยแก๊งดังกล่าวใช้เวลาเพียง 10 นาที ก็ทำการตัดโค่นต้นพะยูง และหั่นเป็นท่อนๆ ขนขึ้นกระบะก่อนจะลำเลียงหลบหนีออกจากวัดไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นทั้งพระ และชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ จึงแจ้งเจ้าอาวาส และผู้ใหญ่บ้านรับทราบ ก่อนที่พระครูสุวัตรประชาทร เจ้าอาวาส จะนำหลักฐานเข้าแจ้งความที่ สภ.เมือง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ และเร่งติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี

นายกฤษณะ บุญจรัส อายุ 41 ปี ช่างที่มาก่อสร้างซุ้มประตูวัด บอกว่า ช่วงเกิดเหตุเวลาประมาณตี 4 ตนและครอบครัวก็นอนอยู่ในวัด จู่ๆได้ยินเสียงรถกระบะขับเข้ามาแล้วเห็นชายฉกรรจ์ประมาณ 15 คนสวมหมวกอีโม่งปิดบังใบหน้า ทั้งยังมีเลื่อยยนต์และอาวุธปืนครบมือ มาขโมยตัดต้นพะยูงเก่าแก่ภายในวัดโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และไม่กลัวบาปกรรม ต่อหน้าพระสงฆ์ และชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์จำนวนมาก แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามปราม เนื่องจากกลัวจะถูกทำร้ายเพราะแก๊งคนร้ายมีอาวุธครบมือ จึงได้แต่โทรศัพท์ไปแจ้งผู้นำชุมชนให้ทราบ

ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการท้าทายกฎหมายอย่างมาก และคาดว่าคนร้ายน่าจะตระเวนก่อเหตุมาแล้วหลายพื้นที่ จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ให้ได้โดยเร็ว เพราะขนาดในวัดยังไม่เว้น หากปล่อยไว้ก็จะก่อเหตุซ้ำอีกแน่นอน