"บิ๊กน้อย"ดันสถานศึกษาฝึกทักษะกีฬาให้"นร.-ประชาชน"ในโรงเรียน เผย4ปีมีเด็กเข้าโครงการแล้วกว่า2พันคน
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา , กระทรวงวัฒนธรรม , กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย เพื่อติดตามความก้าวหน้าของโครงการนำกีฬาสู่ระบบการศึกษา ว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการและมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ บูรนาการร่วมกันในการนำกีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา และการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามาใช้พื้นที่สนามกีฬา และอุปกรกีฬาของโรงเรียนและสถานศึกษาต่างๆ ในการออกกำลังกาย
รมช.ศธ.กล่าวต่อว่า จากที่กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินโครงการนี้มาต่อเนื่องตลอด 4 ปี และมีโครงการที่เกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจน คือ โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาชายแดนใต้ ซึ่งขณะนี้มีการฝึกสอนกีฬาอยู่ 10 ประเภท ให้นักเรียนได้เลือกเรียนตามความสมัครใจ และมีโรงเรียนอยู่ในโครงการ จำนวน 12 โรงเรียน ทั่วพื้นที่ภาคใต้ และหลังจากที่โครงการนี้ดำเนินมาได้ 2 ปี นายกฯ ก็ได้มอบให้กระทรวงศึกษาธิการขยายโครงการนี้ไปสู้ภาคต่างๆ 8 จังหวัด อีกจำนวน 9 โรงเรียน โดยให้เน้นการคัดเลือกนักเรียนที่มีรูปร่างสูง และแข็งแรงเข้าโครงร่วมการ เพื่อพัฒนาต่อยอดไปสู่ความเป็นเลิศของชนิดกีฬา
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทั้ง 2 โครงการ คือ โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาชายแดนใต้ และโครงการนำกีฬาสู้ระบบการศึกษา ที่กระทรวงศึกษาธิการดำเนินมา ได้มีนักเรียนเข้าร่วมโครงการแล้ว จำนวน 2,700 คน จึงได้มอบหมายให้ สพฐ.เป็นหน่วยงานหลัก รวมถึงสถานศึกษาอาชีวะฯ , สถานศึกษาเอกชน , กศน.และมหาวิทยาลัย ร่วมส่งเสริมให้มีการเล่นกีฬาให้มากขึ้น รวมถึงเปิดพื้นที่ให้บริการประชาชนได้เข้ามาเล่นกีฬาและออกกำลังกายในสนาม และโรงยิมของโรงเรียน ในช่วงเย็นและวันหยุดราชการ ซึ่งขณะนี้มีสถานศึกษาในสังกัดรัฐ และเอกชน ยื่นความจำนงที่จะร่วมโครงการดังกล่าวนี้แล้วไม่น้อยกว่า 3 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากมีความพร้อมทั้งสถานที่ ครูพละ โค้ช และจิตอาสาที่ยื่นความจำนงค์เข้าร่วมโครงการมาแล้วจำนวน 78,000 คน ในการฝึกสอนทักษะการเล่นกีฬาชนิดต่างๆ และการเต้นกอโรบิค ให้แก่นักเรียน และประชาชน
"การออกกำลังกายและการเล่นกีฬาเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งนักเรียนที่ฝึกซ้อม กีฬาจะต้องเน้นเรื่องความปลอดภัยของตนเอง และจากสถิติการเสียชีวิตจากการจมน้ำ จึงต้องสอนว่ายน้ำให้นักเรียนรู้จัดการลอยตัวในน้ำ สอนยิมนาสติกขั้นพื้นฐานให้ร่างกายยืดหยุ่นเพื่อลดอันตรายจากการหกล้มของเด็ก และสอนคีตะมวยไทย ซึ่งเป็นศิลปะวัฒนธรรมและมรดกของชาติ ส่วนที่ผ่านมากีฬายอดนิยมของเด็กที่สนใจเล่นมากที่สุด คือ กีฬาฟุตบอล
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีกีฬาประเภทอื่นอีกนับ 10 ประเภท ให้เลือกเล่น เช่น วอลเลย์บอล ตะก้อ บาสเก็ตบอล ฟุตซอล วิ่ง 31 ขา คีตะมวยไทย และยังมีกีฬาสำหรับผู้พิการด้วย ก็เชื่อว่าโครงการนี้จะเกิดประโยชน์อย่างมากมายกับผู้ที่เล่นกีฬา เพราะจะทำให้จิตใจสดชื่นแจ่มใส สุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ก็สามารถป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้ และยังได้รับความรู้ทักษะกีฬาก้าวสู่การเป็นนักกีฬามืออาชีพได้ ความมีคุณธรรม รู้รักสามัคคี การทำงานเป็นทีม ซึ่งจะนำสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ถือว่าเป็นประโยชน์ที่รัฐบาลได้กำหนดนโยบายให้ดำเนินการ"
รมช.ศธ.กล่าวต่อว่า เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนหันมาสนใจออกกำลังกาย และเล่นกีฬาสม่ำเสมอ สร้างพลานามัยที่ดีห่างไกลยาเสพติด กระทรวงศึกษาธิการจึงมอบให้ สพฐ.เป็นหน่วยงานหลักจัดการแข่งขัน "สพฐ.เกมส์" ใน 7 ชนิดกีฬา ได้แก่ ฟุตบอล วอลเลย์บอล เซปักตะกร้อ ฟุตซอล บาสเกตบอล วิ่ง 31 ขา ละคีตะมวยไทย/ศิลปะแม่ไม้มวยไทย ส่วนกีฬานักเรียนพิการ ได้แก่ เปตอง วิ่ง 31 ขา และฟุตซอล การแข่งขันมี 3 รุ่น ระดับประถมศึกษาฯ อายุ ไม่เกิน 12 ปี ระดับมัธยมต้น อายุไม่เกิน 15 ปี และมัธยมปลาย อายุไม่เกิน 18 ปี โดยจะคัดเลือกตัวแทนระดับเขตไปแข่งขันกีฬาระดับภาค ประเภทละ 1 ทีม ระหว่างวันที่ 5 - 25 พ.ย.61 คัดเลือกตัวแทนระดับภาค ไปแข่งขันระดับชาติ ประเภทละ 2 ทีม จัดแข่งขัน 6 ภูมิภาค ระหว่างวันที่ 26 พ.ย. - 9 ธ.ค.และจัดแข่งขันระดับชาติ รอบรองชนะเลิศ ณ สนามกีฬากรุงเทพและปริมณฑล ระหว่างวันที่ 10 - 15 ธ.ค.61 และจัดแข่งขันระดับชาติ รอบชิงชนะเลิศ วันที่ 16 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันกีฬาแห่งชาติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี