วันเสาร์ ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ปัญหาใหญ่สำคัญในการแก้ปัญหาประมงของประเทศไทยคือ “จำนวนเรือประมงที่แท้จริง” จากพ.ร.บ.เรือไทย พ.ศ. 2481 กำหนดให้การถอนทะเบียนเรือเป็นหน้าที่ของเจ้าของเรือ ไม่ได้ให้อำนาจกรมเจ้าท่าในฐานะนายทะเบียนเพิกถอน แม้เรือลำดังกล่าวจะขาดต่ออายุใบอนุญาตใช้เรือมากกว่า 30-40 ปี หรือมีเรือประมงบางส่วนไม่ได้จดทะเบียนเรือ เห็นจากช่วงปี พ.ศ. 2558 มีการสำรวจเรือประมงในน่านน้ำไทย พบมีเรือประมงทั้งสิ้น 45,805 ลำ ร้อยละ 78 เป็นเรือประมงพื้นบ้าน โดย 4,499 ลำ เป็นเรือประมงที่ไม่ได้จดทะเบียนเรือ นอกจากนี้ พบว่ามีเรือประมงที่จดทะเบียนเรือประมาณ 8,024 ลำไม่มาแสดงตน ต่อมาภายใต้คำสั่งคสช.ได้เพิกถอนทะเบียน ซึ่งจากตรวจสอบพบว่าเรือกลุ่มดังกล่าวบางส่วนมีการขาย จมหรือไม่สามารถติดต่อเจ้าของได้ โดยไม่ได้มาเพิกถอนทะเบียนกับกรมเจ้าท่า และเพื่อเป็นการตรวจสอบความถูกต้องของเรือประมง รัฐบาลออกคำสั่ง คสช. ที่ 53 /2559เพื่อให้กรมเจ้าท่าสามารถ “งดการจดทะเบียนเรือไว้เป็นการชั่วคราว” และออกคำสั่ง คสช.ที่ 22/2560 เพื่อให้“ตรวจวัดและจัดทำอัตลักษณ์เรือประมงที่มีการขนาดมากกว่า 10 ตันกรอส” เพื่อให้ได้ฐานข้อมูลเรือประมงที่ถูกต้อง
จากปัญหาที่สะสมมานาน การที่สามารถ “Clean up” เรือประมงภายในเวลาอันสั้น เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐ สมาคมประมง ตลอดจนผู้ประกอบการเจ้าของเรือ การดำเนินการดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบในฐานะ“รัฐเจ้าของธง” เนื่องจากการจดทะเบียนเรือหรือการให้สัญชาติเรือกับเรือลำใด “รัฐจะกำหนดเงื่อนไขในการให้สัญชาติของตนแก่เรือ ในการจดทะเบียนเรือในอาณาเขตของตน และการใช้สิทธิชักธงของตน เรือย่อมมีสัญชาติของรัฐเจ้าของธง ซึ่งเรือนั้นมีสิทธิชักจะต้องเกี่ยวโยงอย่างแท้จริงระหว่างรัฐกับเรือนั้น”
นอกจากนี้ จากพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ที่กำหนด “แนวทางออกใบอนุญาตทำการประมงให้สอดคล้องกับขีดความสามารถในการทำการประมง และปริมาณผลผลิตสูงสุดที่ทำประมงได้อย่างยั่งยืน โดยใช้จุดอ้างอิงเป็นฐานพิจารณา” ซึ่งเป็นไปตามหลักการความรับผิดชอบในฐานะ“รัฐชายฝั่ง” ซึ่งการดำเนินการทั้ง 2 ส่วนเป็นบทบัญญัติภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ที่ไทยให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2554 มีผลผูกพันที่ไทยต้องปฏิบัติตามตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2554
กรมประมงนำข้อมูลเรือที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และแนวทางออกใบอนุญาตประมงพาณิชย์ มาใช้ออกใบอนุญาตประมงพาณิชย์ใน 2 รอบปีการประมงที่ผ่านมา เพื่อให้การลงแรงประมงอยู่ภายใต้ปริมาณผลผลิตสูงสุดที่ทำประมงได้ยั่งยืน แต่จากสภาวะทรัพยากรประมงที่ยังอยู่ในสภาวะ Overfishing ซึ่งต้องลดการลงแรงประมงลงอีก กรมประมงพิจารณาออกใบอนุญาตประมงพาณิชย์ให้ “ชาวประมงทุกคน”มีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมายกำหนด โดยใช้ “การบริหารจัดการวันทำการประมง” เพื่อให้ปริมาณสัตว์น้ำที่จะจัดสรรในการทำประมงเพียงพอสำหรับทุกคน ปัจจุบันประเทศไทยมั่นใจได้ว่ามีเรือประมงพาณิชย์ที่มีการจดทะเบียนเรือและมีใบอนุญาตประมงพาณิชย์ 10,566 ลำ และมีเรือประมงพื้นบ้านที่มีขนาดต่ำกว่า 10 ตัน ที่จดทะเบียนกับกรมเจ้าท่าทั้งสิ้น 27,925 ลำ
จากกระแสข่าวการให้ข้อมูลจำนวนเรือประมงที่ทำประมงเดิมมีมากถึง 80,000 ลำ ตอกย้ำถึงความล้มเหลวของประเทศไทยในฐานะ “รัฐเจ้าของธง” และ “รัฐชายฝั่ง” ในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงช่วงที่ผ่านมา เนื่องจาก “รัฐ” ไม่มีความชัดเจนถึงจำนวนเรือที่มีอยู่จริง นอกจากนั้นแล้วการขาดการควบคุมเรือประมงไทยที่ออกไปทำประมงนอกน่านน้ำทำให้ประเทศไทยกลายเป็น “จำเลย” ในสายตาต่างประเทศ เป็นที่มาของคำว่า “Ghoht Ship” ที่สื่อต่างประเทศกล่าวถึงเรือประมงไทย อันเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้สหภาพยุโรปให้ “ใบเหลือง” แก่ประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่การ “เจรจาต่อรองกับต่างประเทศ” เนื่องจาก “ใบเหลือง” เป็นเพียงการเตือนให้รู้ว่ามีปัญหาอะไร การที่จะแก้ปัญหาหรือไม่เป็นความรับผิดชอบของ “รัฐ” ความพยายามช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนของการประมงไทยในอนาคตที่วางไว้ไกลเกินกว่าระยะเวลาของรัฐบาลหรือผลประโยชน์เบื้องหน้าระยะสั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี