“ภาคประชาสังคม” เสนอพรรคการเมืองลดเหลื่อมล้ำระบบสุขภาพ-เลิกเก็บเงิน ณ จุดบริการ ชงแก้กฎหมายบัตรทองเปิดช่องประชาชนมีส่วนร่วมงานส่งเสริมป้องกันโรค-ปลดล็อคเลข 13 หลักช่วยเหลือผู้มีปัญหาสถานะได้รับสิทธิ ค้าน คสช.ตั้งซูเปอร์บอร์ด
20 ม.ค.62 น.ส.บุญยืน ศิริธรรม อดีตกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ในฐานะภาคประชาสังคม กล่าวในเวทีเสวนามองไปข้างหน้า “พรรคการเมืองกับการสร้างหลักประกันสุขภาพเพื่อคนไทยทุกคน” ซึ่งอยู่ภายใต้งานรำลึก 11 ปี นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ จัดขึ้นโดยมูลนิธิมิตรภาพบำบัด เมื่อวันที่ 11 ม.ค.62 ตอนหนึ่งว่า อยากจะชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพที่ชัดเจนว่า ข้าราชการก็เป็นคน ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมก็เป็นคน ประชาชนที่ใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ก็เป็นคนเหมือนๆ กัน เหตุใดเมื่อล้มป่วยเป็นโรคเดียวกันแต่กลับไม่ได้รับการรักษาที่เหมือนกัน เหตุใดต้องมีการแบ่งแยกว่ายาชนิดนี้สำหรับข้าราชการ ยาชนิดนี้สำหรับประชาชน
“ทำไมต้องมีการแบ่งชนชั้นกัน เพราะทุกคนเป็นคนเหมือนกัน และทุกคนในประเทศนี้ก็เสียภาษี นักการเมืองหรือรัฐบาลชุดใดก็ตามก็ใช้ภาษีจากประชาชนบริหารประเทศ ไม่เคยมีใครหรือรัฐบาลใดที่ใช้ทรัพย์สมบัติหรือมรดกของตัวเองมาบริหารประเทศ ดังนั้นการบริหารภาษีของประชาชนก็ควรบริหารให้เกิดความเท่าเทียมกันทุกคน ไม่ใช่มาตีตราว่านี่คือข้าราชการ นี่คือคนทั่วไปที่ไม่ใช่ข้าราชการ สิ่งนี้คือเรื่องความเท่าเทียมในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” น.ส.บุญยืน กล่าว
น.ส.บุญยืน กล่าวว่า พรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่จะมาบริหารประเทศในอนาคต ต้องจัดทำนโยบายเพื่อไม่ให้เกิดการเก็บค่ารักษาพยาบาล ณ จุดบริการ หรือเก็บเงินหน้างานที่โรงพยาบาล ส่วนตัวมีประสบการณ์ตรงคือเข้าไปรับรักษาพยาบาลด้วยระบบสงเคราะห์ ก็ต้องเข้าไปทนรับฟังคำตำหนิว่าเหตุใดจึงไม่มีเงินรักษาพยาบาล หรือตอนที่ไปรอรับยาให้มารดา ค่ายา 150 บาท แต่ตัวเองมีเงินแค่ 100 บาท ทางโรงพยาบาลจึงแก้ปัญหาด้วยการเทยาออกมาส่วนหนึ่ง สิ่งนี้คือสถานการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้วในประเทศไทย
นอกจากนี้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ได้เขียนล็อกเอาไว้ว่าผู้ที่มีสิทธิต้องมีเลขบัตรประชาชน 13 หลักเท่านั้น นั่นทำให้คนไทยที่มีปัญหาด้านสถานะบุคคลไม่สามารถเข้าถึงสิทธิอันพึงมีได้ ตรงนี้อยากเสนอให้พรรคการเมืองหรือผู้บริหารประเทศในอนาคตแก้ไขปัญหา เพื่อให้สิทธิบัตรทองเป็นของคนไทยทุกคนที่อยู่ในผืนแผ่นดินนี้
“วาทกรรมสร้างนำซ่อมเป็นอีกเรื่องที่ต้องแก้ไข ในกฎหมายกองทุนหลักประกันมีเรื่องการส่งเสริมป้องกันโรค แต่กลับกำหนดเอาไว้ว่าต้องให้หน่วยบริการเป็นผู้ดำเนินการเท่านั้น ทั้งที่เรื่องสุขภาพดีเป็นเรื่องของประชาชน ต้องเปิดช่องให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการส่งเสริมป้องกันโรคด้วย เพราะถ้าเรื่องสุขภาพต้องฝากไว้ที่โรงพยาบาลอย่างเดียว เราก็จะเจ็บป่วยกันอยู่อย่างนี้ ดังนั้นจึงอยากฝากเรื่องแก้กฎหมายใน 2 ประเด็นนี้” น.ส.บุญยืน กล่าว
น.ส.บุญยืน กล่าวต่อไปว่า ในภาพกว้างแล้วต้องฝากเรื่องทิศทางการพัฒนาประเทศซึ่งไม่ต้องทำลายสุขภาพ เพราะถึงแม้ว่ารัฐบาลจะจัดงบประมาณเพื่อดูแลสุขภาพมากแค่ไหน แต่ยังมีนโยบายที่ทำลายสุขภาพ เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน เหมืองแร่ ฯลฯ คนก็จะป่วยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นการป่วยไข้ที่ไม่ได้เกิดจากประชาชนเอง แต่ประชาชนกลับถูกทำให้ป่วย ดังนั้นการพัฒนาต้องไม่ทำลายล้างประชาชน
“การพัฒนาคือความเจริญ แต่ถ้าเจริญแล้วประชาชนอยู่ไม่ได้ ประชาชนก็ไม่ต้องการการพัฒนา” น.ส.บุญยืนกล่าว และสนับสนุนให้พรรคการเมืองมีนโยบายสร้างรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าให้เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างแท้จริง
น.ส.บุญยืน กล่าวว่า พรรคการเมืองไม่ควรมองประชาชนเป็นภาระ เพราะประชาชนหากินจากอาชีพและหยาดเหงื่อของตัวเองแทบทั้งสิ้น ประชาชนไม่เคยเป็นภาระใคร มีแต่คนอื่นที่เป็นภาระประชาชน และอีกประเด็นที่อยากจะฝากไว้คือรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความพยายามที่จะออกกฎหมายซูเปอร์บอร์ด หรือในภาษาอาชีวะคือ “พ่อทุกสถาบัน” หมายความว่าซูเปอร์บอร์ดนี้จะสามารถแทรกแซงการทำงานของทุกบอร์ดได้ เช่น บอร์ด สปสช.คิดอะไรมา แล้วซูเปอร์บอร์ดบอกว่าไม่พอใจก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นเราจึงขอคัดค้านการตั้งซูเปอร์บอร์ด ฝากรัฐบาลในอนาคตด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี