ถึงมือ‘อนุทิน’

กัญชาชุดแรก4.5พันขวด

ส่งต่อ12รพ.ศูนย์ฯใช้ฟรี

เปิดสายด่วน1165ดูแล

ขยายผลวิจัยรักษามะเร็ง

อภ.ส่งมอบแล้วชุดแรก 4,500 ขวด สารสกัดน้ำมันกัญชา เพื่อใช้รักษาโรคสูตร 1 ทีเอชซี สูง ให้ สธ.กระจายให้รพ.ศูนย์ 12 เขตบริการสุขภาพ รพ.ละ 300 ขวด รวม 3,900 ขวดตามกลุ่มโรคเป้าหมาย ย้ำแพทย์เก็บข้อมูลเพื่อติดตามผล ส่วนอีก 600 ขวดมอบให้สถาบันมะเร็งฯใช้ศึกษาวิจัยในคนและสัตว์ทดลอง เน้นรักษาโรคมะเร็ง

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พร้อมนพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม และผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแถลงข่าวรับมอบสารสกัดน้ำมันกัญชา เพื่อใช้รักษาทางการแพทย์ ที่องค์เภสัชกรรม (อภ.) ผลิตแล้วเสร็จ 6,500 ขวด เข้าสู่ระบบบริการกัญชาทางการแพทย์ว่า สารสกัดกัญชาที่ได้รับครั้งนี้ เป็นสูตรทีเอชซี (THC)สูง จำนวน 4,500 ขวด ส่วนอีก 2.สูตรคือ สูตรซีบีดี (CBD) และ3.สูตรที่มีอัตราส่วนของทีเอชซี กับซีบีดี 1:1 จะส่งมอบได้สิ้นเดือนสิงหาคม

โดยนายอนุทินกล่าวตอนหนึ่งว่า สารสกัดน้ำมันกัญชาที่ผลิตออกมาล็อตแรกนี้ การใช้จะอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ ดังนั้น ไม่มีส่วนไหนเป็นอันตรายต่อประชาชน สังคม หากใช้ภายใต้คำสั่งแพทย์ไม่มีมึน เมา เพราะฉะนั้น นับว่าเสรีกัญชาทางการแพทย์เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วย และประเทศเริ่มต้นอย่างแท้จริงตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สารสกัดกัญชาในกล่องนี้คือ ผลิตภัณฑ์บนดิน มีมาตรฐาน ไม่มีปนเปื้อน และขอให้หน่วยงานหน่วยงานที่ได้รับผิดชอบดำเนินการผลิตออกมาให้ทันกับตลาด เพราะวันนี้ในประเทศมีความต้องการใช้มาก ถ้าพบว่าใช้ได้ผลดีก็จะพิจารณาบรรจุเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติต่อไป

ทั้งนี้ สารสกัดน้ำมันกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ที่องค์การเภสัชกรรมทำออกมานั้น มี 3 สูตรคือ1.สูตรทีเอชซีสูง กล่องสีแดงคือ การใช้แพทย์ต้องกำกับใกล้ชิด 2.สูตรซีบีดี ถือเป็นพระเอก กล่องสีเขียว มีทั้งขนาด 5,10และ30 มิลลิลิตรและ3.สูตรที่มีอัตราส่วนของทีเอชซีกับซีบีดี 1:1 กล่องสีเหลือง การใช้เป็นไปตามการวินิจฉัยของแพทย์ว่าใครควรหรือไม่ควรใช้

ด้านนพ.สุขุม กล่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับสารสกัดน้ำมันกัญชาล็อตแรกที่ได้มา 4,500 ขวดๆละ 5 ซีซีนั้น จะกระจายให้ทางกรมการแพทย์ไปใช้ในโครงการศึกษาวิจัย 600 ขวด โดย 100 ขวดเป็นการศึกษาวิจัยเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ. ส่วนที่เหลืออีก 500 ขวด เป็นการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลอง อีก 2,000 ขวด คาดว่าจะได้รับภายในสิ้นเดือนสิงหาคม

ส่วนอีก 3,900 ขวดจะกระจายไปยังรพ.ศูนย์ทั้ง12 เขตสุขภาพคือ รพ.ลำปาง รพ.พุทธชินราช จ.พิษณุโลก รพ.สวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ รพ.สระบุรี รพ.ราชบุรี รพ.ระยอง รพ.ขอนแก่น รพ.อุดรธานี รพ.บุรีรัมย์ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี รพ.สุราษฎรธานี รพ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เฉลี่ยรพ.ละ 300 ขวด โดยใช้ผู้ป่วยระยะประคับประคอง ผู้ป่วยที่มีอาการข้างเคียงรุนแรง จากการรับยาเคมีบำบัด เช่นคลื่นไส้ อาเจียนมาก นอนไม่หลับซึ่งเป็นการให้ฟรี กับผู้ป่วยตามกลุ่มโรคที่กำหนดเท่านั้นที่ขึ้นทะเบียนและเดินทางมาพบแพทย์ด้วยตัวเอง ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาให้ และภายในเดือนกันยายน จะเริ่มกระจายน้ำมันกัญชาไปยังสถานพยาบาลที่ให้บริการด้านแพทย์แผนไทย 7 แห่งในรพ.เด่นชัย จ.แพร่ รพ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี รพ.ดอนตูม จ.นครปฐม รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี รพ.พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร จ. สกลนคร รพ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ รพ.ท่าฉาง จ.สุราษฎรธานี

ขณะที่ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวว่า สำหรับสารสกัดกัญชา 600 ขวด จะนำ 100 ขวดไปใช้ในหลอดทดลองเพื่อดูประสิทธิภาพในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งรังไข่ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับอ่อน ส่วนอีก 500 ขวด คาดว่า 2-3 สัปดาห์ก็รู้ผล จะไปทดลองในสัตว์เพื่อดูเรื่องความปลอดภัย สำหรับข้อกังวลเรื่องความเห็นไม่ตรงกันระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยว่าเหมาะที่จะใช้สารสกัดกัญชารักษาโรคหรือไม่นั้น ได้กำชับกับแพทย์ที่มาอบรมแล้วว่าหากผู้ป่วยที่ไม่มีข้อบ่งชี้ แต่เคยใช้กัญชามาก่อน แล้วยังต้องการใช้น้ำมันกัญชาต่อก็ให้แพทย์ให้คำแนะนำ และช่วยติดตามและรายงานผลด้วย พร้อมกันนี้ ยังเปิดสายด่วนกัญชา 1165 เพื่อให้คำแนะนำคำปรึกษาและข้อมูลกับผู้สนใจด้วย

“ยืนยันว่าน้ำมันกัญชาใช้ไม่ได้ทุกโรค ใช้ได้ใน 4 กลุ่มโรคได้แก่ ลมชักในเด็ก ปลอกประสาทอักเสบเสื่อมแข็ง แก้ปวด และบรรเทาอาการข้างเคียงจากรับการเคมีบำบัด คลื่นไส้ อาเจียน ส่วน 3 กลุ่มโรคที่น่าจะเอื้อประโยชน์ได้ ยังไม่มีการรับรองทางการแพทย์ ได้แก่ พาร์กินสัน , อัลไซเมอร์ การใช้ต้องติดตามและประเมินผลและอยู่ในการดูแลของแพทย์” นพ.สมศักดิ์กล่าว

และว่า อภ.ผลิตสารสกัดกัญชา 3สูตร ได้แก่ THC ,CBD,สารสกัดTHC และCBD แบบ1ต่อ1 เริ่มกระบวนการปลูกตั้งแต่กุมภาพันธ์ ใช้เวลา 4 เดือน จากนั้นเก็บเกี่ยวและสกัดให้ได้น้ำมัน โดยการสกัดต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพ ความปลอดภัยในการปลูก ปลอดสารเคมี ยาฆ่าแมลง และโลหะหนัก และสารสกัดที่ได้ต้องคงตัว ล็อตแรกที่ผลิตได้ก่อนมี 6,500 ขวด จากนั้นคาดว่าจะผลิตได้ล็อตละ 10,000 ขวด ตามกระบวนการปลูกที่ได้ทยอยดำเนินการมา

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า สารสกัดกัญชาทั้ง 3 ตัวได้ขึ้นทะเบียนกัญชาพิเศษ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เร็ว โดยแพทย์ที่ใช้ต้องรายงานผลกลับมาว่ากับผู้ป่วยโรคอะไร ผลเป็นอย่างไร ถือเป็นข้อมูลรวมระดับประเทศ รวมถึงทำระบบการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม

ด้าน นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกล่าวว่า ล่าสุดได้รับการติดต่อจาก ป.ป.ส.ว่าจะนำกัญชาของกลาง 1,000 กิโลกรัมแห้งมาให้ จากการส่งตรวจพบว่าไม่มียาฆ่าแมลง มีแต่โลหะหนักนิดหน่อย แต่สามารถสกัดออกได้ โดยจะนำมาให้กองพัฒนายาไทยและสมุนไพร ผลิตเป็นน้ำมันกัญชาสูตร นายเดชา ศิริภัทร หมอโดยจะหารือกันวันที่ 9 สิงหาคม.เบื้องต้นคาดว่าน่าจะได้หลายแสนขวด