เตือนภัยหลังน้ำลด
‘โรคฉี่หนู-ท้องร่วง’ระบาด
ปภ.เผย4จว.ยังเดือดร้อน
ระบายน้ำออกจากพื้นที่
เปิดครัวให้บริการทั่วถึง
กรมควบคุมโรค ขอให้ประชาชนระมัดระวัง 3 โรคสำคัญหลังน้ำลดโรคอุจจาระร่วง โรคไข้ฉี่หนู และโรคติดต่อนำโดยยุงลาย แนะเร่งกำจัดขยะมูลฝอยในบริเวณบ้านทันที เพื่อลดแหล่งสะสมของเชื้อโรค ในขณะที่ ปภ.เผย4 จังหวัดยังเดือดร้อน เร่งระบายน้ำพร้อมเปิดครัวให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข และนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นห่วงสุขภาพประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งขณะนี้ในบางพื้นที่น้ำเริ่มลดลงแล้ว จึงได้มอบหมายให้กรมควบคุมโรค เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ในพื้นที่น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด พร้อมแนะนำประชาชนให้ระมัดระวังโรคที่อาจเกิดขึ้นหลังน้ำลด โดยเฉพาะ 3 โรคสำคัญ ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง โรคไข้ฉี่หนู และโรคติดต่อนำโดยยุงลาย
โรคอุจจาระร่วง เกิดจากการได้รับเชื้อโดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคจากสิ่งปฏิกูลที่มาจากน้ำท่วม หรือจากการใช้น้ำที่ไม่สะอาดนำมาชำระล้างภาชนะใส่อาหาร เช่น ถ้วย ชาม ช้อน ที่ปนเปื้อนปัสสาวะ อุจจาระ ขยะมูลฝอย ที่บูดเน่า หรือจากการไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนเตรียมหรือปรุงอาหาร จะทำให้เกิดโรคติดต่อทางเดินอาหารต่างๆ ได้ การป้องกันโรคสามารถทำได้โดยการดื่มน้ำสะอาด น้ำบรรจุขวดที่ได้มาตรฐาน การล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังการขับถ่าย ภาชนะที่ใส่อาหารควรล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนนำมาใช้ รักษาความสะอาดโดยการกำจัดขยะมูลฝอย เพื่อลดแหล่งสะสมของเชื้อโรค การกำจัดอุจจาระ ปัสสาวะที่ถูกต้อง หลีกเลี่ยงการถ่ายอุจจาระในน้ำที่ท่วมเพราะจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ (ในภาวะน้ำท่วมสูงควรถ่ายใส่ถุงดำแล้วโรยปูนขาว ปิดปากถุงให้แน่น รอเรือเก็บขยะมาเก็บ)
โรคไข้ฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรสิส โดยเชื้อที่ปนเปื้อนในน้ำ ในดิน เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง หรือเยื่อบุตา ปาก จมูก หลังจากได้รับเชื้อโดยเฉลี่ย 10 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะทันที มักจะปวดบริเวณหน้าผาก หรือตา บางรายปวดบริเวณขมับ ทั้งสองข้าง ปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณ ขา น่อง มีไข้สูงร่วมกับหนาวสั่น อาการต่างๆ อาจอยู่ได้ 4 - 7 วัน นอกจากอาการดังกล่าว ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน บางรายมีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง การตรวจร่างกายในระยะนี้อาจพบว่าผู้ป่วยมีอาการตาแดง วิธีการป้องกันคือ หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ แช่หรือลุยน้ำที่อาจปนเปื้อนเชื้อปัสสาวะของสัตว์นำโรค ถ้าจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ท ล้างเท้าหรือส่วนที่แช่อยู่ในน้ำ เมื่อขึ้นจากการแช่น้ำทุกครั้งควรรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที หากมีอาการน่าสงสัย เช่น มีไข้ ปวดศีรษะรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อหรือมีอาการตาแดง ให้รีบพบแพทย์โดยเร็ว
ส่วนโรคติดต่อนำโดยยุงลาย โดยหลังจากน้ำเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดน้ำขังตามภาชนะหรือวัสดุต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายตามมา อาจพบผู้ป่วยโรคติดต่อนำโดยยุงลายในพื้นที่เพิ่มขึ้น จึงขอความร่วมมือประชาชนหลังจากน้ำลดและกลับเข้าบ้านแล้ว ขอให้สำรวจและร่วมกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบริเวณโดยรอบตัวบ้านและในชุมชน เพื่อดำเนินการควบคุมลูกน้ำยุงลายให้ลดลง โดยขอให้ยึดหลัก “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ได้แก่ 1.เก็บบ้านให้สะอาด โล่ง ไม่ให้มีมุมอับทึบ เป็นที่เกาะพักของยุง 2.เก็บขยะ เศษภาชนะรอบบ้าน โดยทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้ง ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และ 3.เก็บน้ำ สำรวจภาชนะใส่น้ำ ต้องปิดฝาให้มิดชิด ป้องกันยุงลายไปวางไข่ ซึ่งจะป้องกันได้ 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย สอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422-สำนักข่าวไทย
วันเดียวกันนายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า อิทธิพลพายุโซนร้อน “โพดุล” และพายุโซนร้อน “คาจิกิ” ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรง ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2562 จนถึงปัจจุบัน (28 ก.ย. 62 เวลา 06.00 น.) ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินสไลด์ และวาตภัย รวม 32 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ 10 จังหวัด ได้แก่ แพร่ เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร แม่ฮ่องสอน ลำปาง และสุโขทัย
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 16 จังหวัด ได้แก่ นครพนม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี อำนาจเจริญ มหาสารคาม ขอนแก่น หนองบัวลำภู ยโสธร กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ชัยภูมิ สุรินทร์ อุดรธานี เลย ศรีสะเกษ และสกลนคร
ภาคตะวันออก 3 จังหวัด ได้แก่ ปราจีนบุรี ตราด และสระแก้ว
ภาคใต้ 3 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ระนอง และชุมพร รวม 184 อำเภอ 976 ตำบล 7,175 หมู่บ้าน 5 เขตเทศบาล 11 ชุมชน
ประชาชนได้รับผลกระทบ 419,988 ครัวเรือน บ้านเรือนได้รับความเสียหาย 4,943 หลัง ผู้เสียชีวิต 35 ราย (ยโสธร 9 ราย ร้อยเอ็ด 6 ราย อำนาจเจริญ 5 ราย ขอนแก่น 3 ราย อุบลราชธานี 3 ราย ศรีสะเกษ 3 ราย พิจิตร 2 ราย พิษณุโลก 1 ราย มุกดาหาร 1 ราย สกลนคร 1 ราย น่าน 1 ราย) ผู้บาดเจ็บ 1 คน (ชัยภูมิ)
ปัจจุบันกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้ยกระดับการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ (ระดับ3) ซึ่งยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด และศรีสะเกษ อพยพประชาชน 17,457 คน ในพื้นที่ 2 จังหวัด รวม 43 จุด ได้แก่ อุบลราชธานี 43 จุด รวม 17,520 คน และศรีสะเกษ อพยพประชาชน 3 จุด รวม 63 คน
ทั้งนี้ ปภ.ได้ร่วมกับจังหวัด หน่วยทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมเจ้าหน้าที่ วัสดุอุปกรณ์ยานพาหนะ และเครื่องจักรกลด้านสาธารณภัยให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยและคลี่คลายสถานการณ์ภัย โดยติดตั้งเครื่องสูบน้ำรถบรรทุกเครื่องส่งสูบน้ำระยะไกลเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมขัง รวมถึงแจกจ่ายอาหารปรุงสุก น้ำดื่ม และถุงยังชีพตามวงรอบ อีกทั้งดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ประภัยในศูนย์พักพิงชั่วคราว อำนวยความสะดวกในการขนย้ายสิ่งของและการเดินทางในพื้นน้ำท่วมขัง อีกทั้งให้บริการด้านสาธารณสุขครอบคลุมการดูแลสุขภาพและสภาพจิตใจ สำหรับจังหวัดที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว ให้เร่งสำรวจประเมินความต้องการการช่วยเหลือของผู้ประสบภัย พร้อมจัดทำบัญชีความเสียหายให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการประกอบอาชีพ ชีวิตความเป็นอยู่ ที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร ปศุสัตว์ สาธารณูปโภค เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ โดยเฉพาะด้านที่อยู่อาศัย ตลอดจนซ่อมแซมและฟื้นฟูสิ่งสาธารณประโยชน์ให้สามารถ ใช้งานได้ตามปกติโดยเร็ว
ท้ายนี้ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยสามารถติดต่อได้ทางสายด่วนนิรภัย1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี