หนุน-ค้านงัดข้อมูลสู้
แบน3สารพิษ
ย้ำจุดยืนก่อนถก22ตค.
มนัญญาลุ้นนาทีต่อนาที
เตรียมรอฟังมติหน้าห้อง
โค้งสุดท้ายก่อนรู้ผลประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย 22 ตุลาคม กลุ่มหนุน-ต้านออกโรงย้ำจุดยืนของตัวเองเต็มสูบ งัดข้อมูลโต้กันนัวด้าน “มนัญญา”เผยลุ้นระทึกนาทีต่อนาที จ่อไปเฝ้าหน้าห้องหวังผลสำเร็จ 90% ขณะที่ “เฉลิมชัย”เผยก.เกษตรฯต้องปฎิบัติตามประกาศ 5ฉบับจำกัดการใช้ 3 สารเคมีที่มีผลบังคับใช้แล้วไปก่อน จนกว่าจะมีมติเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
เมื่อวันที่ 20ตุลาคม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ ต้องดำเนินมาตรการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด ได้แก่ คลอร์ไพริฟอส พาราควอตและไกลโฟเสตตามประกาศกระทรวงเกษตรฯ 5 ฉบับที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้ไปจนกว่าคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะมีมติเป็นอย่างอื่น ซึ่งไม่ทราบว่า ในการประชุมวันที่ 22 ตุลาคม คณะกรรมการฯจะมีมติอย่างไร ต้องรอดูว่า ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายไม่ได้แจ้งมาที่รมว. เกษตรฯ แต่จะแจ้งไปที่ผู้แทนของกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นกรรมการมี 5 คนจากทั้งหมด 29 คนได้แก่ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร อธิบดีกรมปศุสัตว์ อธิบดีกรมประมง และเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)
ด้านนายเชิดชัย จิณะแสน กรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการจำกัดการใช้สารเคมีทางการเกษตรและประธานคณะกรรมการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ระดับประเทศ กระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า ได้ทำหนังสือแจ้งประธานศพก. 882 อำเภอทั่วประเทศว่า เกษตรกรที่จำเป็นต้องใช้สารเคมี ให้ใช้ต่อไปได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎการใช้และข้อห้ามอย่างเคร่งครัด ตามประกาศ 5 ฉบับของกระทรวงเกษตรที่มีผลบังคับใช้วันนี้
ทั้งนี้ ภาคการเกษตรของไทยมี 3 กลุ่มคือ กลุ่มเกษตรเคมี กลุ่มเกษตรปลอดภัย และกลุ่มเกษตรอินทรีย์ ซึ่งแต่ละกลุ่มเลือกวิถีเกษตรกรรมตามสภาพพื้นที่ ทุนดำเนินการและปัจจัยแวดล้อม แต่ขอให้สมาชิก ศพก.อย่าเปรียบเทียบว่า สินค้าเกษตรของกลุ่มใดดีกว่ากัน เนื่องจากทำให้เกิดความขัดแย้งและนำไปสู่การแบ่งข้างตามกระแสโซเชียล
นายเชิดชัยยังกล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายวันที่ 22 ตุลาคม ซึ่งหากมีมติยกเลิกสารเคมีทั้ง 3 ชนิดอาจสร้างความเสียหายให้กลุ่มเกษตรไร่อ้อย ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ยางพาราข้าวโพด และไม้ผล รวมถึงอื่นๆด้วย เกษตรกรเกรงว่า การช่วยเหลือของภาครัฐจะล่าช้าจนนำไปสู่การขาดความเชื่อมั่นรัฐบาล จึงขอให้ทุกภาคส่วนโปรดพิจารณาข้อมูลทางวิชาการให้รอบด้าน และหันมาพูดคุยกันเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกษตรกรต้องขาดเครื่องมือในการประกอบอาชีพและยังสร้างความแตกแยกทางความคิดในสังคมอีกด้วย
สำหรับประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 ฉบับที่มีผลบังคับใช้ในวันนี้นั้น มีสาระสำคัญเกี่ยวกับมาตรการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด 6 มาตรการ ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีทั้ง 3 ชนิดได้แก่ เกษตรกรผู้ใช้ ผู้รับจ้างพ่น ผู้ขาย ผู้นำเข้า/ผู้ผลิต และพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ใช้และผู้รับจ้างพ่นสารเคมีทั้ง 3 ชนิดต้องผ่านการอบรม และหรือผ่านการทดสอบความรู้ตามหลักสูตรการใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและปลอดภัย โดยกรมวิชาการเกษตร ซึ่งเนื้อหาที่อบรม ประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับมาตรการจำกัดการใช้/อันตรายจากการใช้ ความเป็นพิษต่อร่างกาย สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม การใช้สารเคมีอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การอบรมให้พนักงานเจ้าหน้าที่จากกระทรวงมหาดไทยได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลเกี่ยวกับมาตรการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดและบทบาทหน้าที่ในฐานะที่แต่งตั้งให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการเข้าไปตรวจสอบการใช้ 3 สารภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535
ส่วนมาตรการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนั้น กำหนดให้ใช้พาราควอตและไกลโฟเสต เฉพาะเพื่อกำจัดวัชพืชในการปลูกอ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด และไม้ผลเท่านั้น ส่วนคลอร์ไพริฟอสให้ใช้เฉพาะกำจัดแมลงในการปลูกไม้ดอก พืชไร่ และเพื่อกำจัดหนอนเจาะลำต้นในไม้ผล รวมทั้งได้กำหนดพื้นที่ห้ามใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด โดยห้ามใช้ในพื้นที่ปลูกพืชผักหรือพืชสมุนไพร พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่สาธารณะ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับหน่วยงานราชการ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมทางหลวงชนบท ที่ใช้สารกำจัดวัชพืช เพื่อกำจัดวัชพืชข้างทางรถไฟและข้างถนน ซึ่งกรมวิชาการเกษตรเตรียมออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพ.ร.บ.วัตถุอันตราย แต่ต้องมาขออนุญาตเพื่อใช้สารกำจัดวัชพืช ตามพื้นที่และปริมาณที่กำหนดโดยตรงต่อกรมวิชาการเกษตร
ด้านเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ฝึกอบรมอย่างเข้มข้น และกรมวิชาการเกษตรได้จัดทำระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพไว้แล้ว เกษตรกรและผู้รับจ้างพ่นต้องมีเอกสารรับรองการผ่านการอบรม ส่วนการจะซื้อสารเคมีนั้น ต้องแสดงหลักฐานเกี่ยวกับชนิดพืชที่ปลูก พร้อมจำนวนพื้นที่ปลูก เพื่อกำหนดปริมาณสารเคมีที่จะได้รับอนุญาตให้ซื้อได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนมีความปลอดภัยทั้งต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม
น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรรมการวัตถุอันตราย วันที่ 22 ตุลาคม ซึ่งมีวาระสำคัญเกี่ยวกับการยกเลิกใช้ 3 สารวัตถุอันตรายทางการเกษตร แต่ตรงกับการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งหลังประชุม ตนอาจจะไปติดตามผลประชุมกรรมการวัตถุอันตรายว่าจะมีมติอย่างไร ตนลุ้นระทึกนาทีต่อนาที
“ทุกเรื่องที่ทำส่งไปสุดมือพี่ ขณะนี้นั่งรอดู คก.วัตถุอันตราย รับไม้ต่อไป ทั้งนี้นายอนุทิน ชาญวีระกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ทำสุดตัวหมดแล้ว โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ทำทุกนาที ทุกกรม เดินหน้าแบน3สาร ส่วนมติที่ประชุมกรรมการวัตถุอันตรายจะเป็นอย่างไรยังตอบไม่ได้ แต่เมื่อทำมาถึงขนาดนี้น่าจะมีความหวัง 90% อย่างไรก็ตาม ขอความกรุณาจากคณะกรรมการฯให้เห็นใจคนเจ็บ คนป่วย และอย่าให้คนไทย ต้องมาเจ็บป่วยไปมากกว่านี้เลย”น.ส.มนัญญา กล่าว
อีกด้านหนึ่งมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กรประชาชนที่สนับสนุนและคัดค้านการยกเลิกใช้ 3 สารเคมีอันตรายต่อเนื่อง โดยน.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายสนับสนุนการแบนสารเคมีการเกษตรอันตราย 3 ชนิดกล่าวว่า พาราควอต ไกลโฟเสต และคลอร์ไพริฟอสมีพิษร้ายแรงเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนเกินกว่าที่จะยอมรับได้ ช่วงเช้าวันวันที่ 21 ตุลาคม จะร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีความเห็นเป็นแนวทางเดียวกันประกาศจุดยืนให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายยกเลิกใช้ ทั้งนี้ ไม่เชื่อว่า มาตรการจำกัดการใช้ตามประกาศกระทรวงเกษตรฯ5 ฉบับใช้ไม่ได้ผล จึงต้องการให้หมดจากประเทศไทยทันที จากนั้นให้รัฐหามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรด้านต้นทุนที่จะสูงขึ้น ทั้งค่าแรงงานกำจัดวัชพืช การจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตร และนวัตกรรมที่เป็นสารชีวภัณฑ์ให้เกษตรกรใช้ทดแทน
นางสาวปรกชลกล่าวต่อว่า หากประเทศไทยไม่ปรับเปลี่ยนวิถีเกษตรกรรม โดยยังคงใช้สารเคมีจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกจากการกีดกันทางการค้า เนื่องจากกระแสโลกต้องการอาหารปลอดภัย ส่วนที่มีการระบุว่า หากยกเลิกไกลโฟเสต ซึ่งเป็นสารกำจัดวัชพืชแล้ว จะให้เกษตรกรใช้สารกลูโฟซิเนตแทนนั้นยืนยันว่า เป็นข้อมูลที่นักวิชาการของกรมวิชาการเกษตรให้ต่อมูลต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจาณาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎรไม่ได้เป็นข้อเสนอของเครือข่ายฯ ตามที่มีกระแสกล่าวหาว่า ทางเครือข่ายต้านการใช้สารเคมี 3 ชนิดเพื่อสนับสนุนการใช้สารเคมีชนิดใหม่
ขณะที่นายสุกรรณ์ สังขวรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัยเผยว่า ช่วงเช้าวันที่ 21 ตุลาคม จะร่วมกับผู้แทนสมาคมเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ 6 ชนิดคือ อ้อย ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพด และไม้ผลแถลงจุดยืนที่โรงแรมเอเชีย เพื่อให้รัฐชะลอการพิจารณายกเลิกสาร 3 ชนิดออกไป โดยหานวัตกรรมและแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้ก่อน ที่สำคัญเห็นว่า การยกเลิกสารเคมีทั้ง 3 ชนิดจะทำให้เกษตรกรได้รับผลกระทบทั้งต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ปริมาณและคุณภาพผลผลิตต่ำลง จากงานวิจัยของรศ. พูนพิภพ เกษมทรัพย์ ภาควิชาพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ระบุว่า แปลงมันสำปะหลังนั้น หากควบคุมวัชพืชไม่ได้ ภายใน 2 เดือน ผลผลิตจะเสียหายถึงร้อยละ 80 ส่วนตนเองนั้นปลูกอ้อย 400 กว่าไร่ หากไม่ป้องกันกำจัดหญ้า ผลผลิตจะลดน้อยลงเช่นกัน
นายสุกรรณ์กล่าวต่อว่า การยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดไม่ใช่ทางออก เพราะเสี่ยงที่เกษตรกรบางส่วนที่จำเป็นต้องใช้ เนื่องจากยังไม่มีนวัตกรรมใดที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมมาทดแทนจะแอบซื้อแอบใช้ ตลอดจนหาสารเคมีชนิดอื่นมาใช้ แต่มาตรการจำกัดการใช้ที่สอนให้เกษตรกรรู้วิธีป้องกันตัวเองขณะฉีดพ่น ใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เก็บเกี่ยวผลผลิตหลังฉีดพ่นสารเคมีตามข้อกำหนดจะทำให้ทุกฝ่ายปลอดภัย ส่วนที่รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยระบุ ถ้ายกเลิกสารเคมี 3 ชนิดไม่ได้จะลาออกทั้งหมดนั้น กลุ่มเกษตรกรต้องการให้ลาออกเสียก่อนที่จะมีการพิจารณา โดยเฉพาะน.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรฯที่นำเสนอนโยบายอย่างไม่คำนึงถึงความมั่นคงในการประกอบอาชีพของเกษตรกร อีกทั้ง ทำลายโครงสร้างภาคการเกษตร ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทรวงเกษตรฯ ต้องรับผิดชอบ
นายสุกรรณ์กล่าวอีกว่า จากนั้นช่วงบ่ายกลุ่มเกษตรกรจะไปพบรมว.เกษตรฯ เพื่อร้องเรียนถึงความเดือดร้อนของเกษตรกร และเสนอทางออกให้สังคมที่กำลังสับสนว่า ข้อมูลเรื่อง 3 สารอันตรายฝ่ายใดจริง ฝ่ายใดเท็จ รัฐสามารถให้นำเสนอข้อมูลวิชาการและข้อมูลเชิงประจักษ์ให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง หากยังมีประเด็นใดไม่ชัดเจนให้วิจัยใหม่ได้ จากนั้นจึงค่อยพิจารณาแก้ปัญหาให้ตรงจุด เนื่องจากการเลิกใช้สารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งแล้ว ให้ใช้สารเคมีชนิดใหม่ทดแทนไม่ได้ทำให้ผู้บริโภคปลอดภัยขึ้น ผู้ได้ประโยชน์คือ ผู้ค้าสารเคมีซึ่งไม่ว่าจะใช้สารใดก็ขายได้ทั้งนั้น
“อย่ามองว่าเกษตรกรเป็นฆาตกร เพราะไม่มีใครต้องการใช้สารเคมีโดยไม่จำเป็น เมื่อใช้ก็เป็นต้นทุนการผลิต จึงเรียกร้องให้รัฐทำวิจัยใหม่ โดยต้องไม่ใช่ทั้งกระทรวงเกษตรฯ หรือกระทรวงสาธารณสุขทำ แต่ควรเป็นคณะนักวิจัยจากหลายหน่วยงาน เพื่อความเป็นกลาง หากรัฐตัดสินใจกำจัดเครื่องมือประกอบอาชีพของเกษตรกรออกไป เกษตรกรจำเป็นต้องลุกฮือ เพื่อให้รัฐรับรู้และแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรซึ่งมีอยู่ประมาณ 7.5ล้านคน”นายสุกรรณ์กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี