เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 18 ธันวาคม 2562 ที่ห้องพิจารณา 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ อ.830/2549 ที่ นางกรองกาญจน์ ถิ่นอ่อน อายุ 59 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ต.สมิง รอดรัตษะ อดีต สว.สส.สน.พญาไท (ปัจจุบันครองยศ พ.ต.อ. ผกก.ตม.มุกดาหาร) , ร.ต.อ.พรรณศักดิ์ วรบูลย์สวัสดิ์ อดีต รอง สว.สส.สน.พญาไท (ปัจจุบันครองยศ พ.ต.ท.) , ร.ต.อ.กิตติพงษ์ สิมมาลี , ด.ต.ภิญโญ แสงทิพย์ , ด.ต.อภิทักษ์ แก้วเกลื่อน , ด.ต.อวยชัย ทับสุรีย์ , จ.ส.ต.บุญเรือง บุตรวงศ์ , จ.ส.ต.รุ่งทิพย์ขำ , จ.ส.ต.(หญิง) ศศิธร ทับสุรีย์ , จ.ส.ต.วันเผด็จ แท่นรัตน์ และ ส.ต.ท.สุธรรม แย้มช่วย เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.พญาไท (ยศและตำแหน่งขณะเกิดฟ้องปี 2549) เป็นจำเลยที่ 1 - 11 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ เพื่อให้เกิดความเสียหายกับผู้อื่น , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารรับรองหลักฐานฯ อันเป็นเท็จ , ผู้ใดแจ้งข้อความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่อัยการ ผู้ว่าคดีฯ , ผู้ใดขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต เสรีภาพ ทรัพย์สินฯ และผู้ใดหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นทำให้ปราศจากเสรีภาพฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 , 162 , 172 , 309 , 310 ทวิ
กรณีเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2548 จำเลยทั้งหมด ร่วมกันแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม นางกรองกาญจน์ โจทก์โดยไม่มีหมายจับของศาล ใช้กำลังและอาวุธบังคับขืนใจโจทก์ให้ขึ้นรถยนต์ไปกับพวกจำเลย ซึ่งระหว่างนั้นจำเลยได้ใช้ถุงดำคลุมศีรษะและรัดคอโจทก์ไว้ เพื่อข่มขู่ให้โจทก์รับสารภาพคดีมียาบ้า จำนวน 100 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งโจทก์ได้ปฏิเสธ แต่จำเลยไม่ยอมปล่อยตัวและไม่นำส่งพนักงานสอบสวนหรือพาไปยังสถานีตำรวจ กลับให้โจทก์พาไปโกดังของโจทก์เพื่อตรวจค้น แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แล้วจำเลยกับพวกได้ร่วมกันทำเอกสารการจับกุมและเอกสารอื่นๆ อันเป็นเท็จ โดยบังคับให้โจทก์ลงลายมือชื่อรับสารภาพในเอกสารดังกล่าวซึ่งจัดพิมพ์ไว้แล้ว
คดีนี้จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธโดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2552 เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องเป็นลำดับขั้นตอน หากไม่เป็นความจริงก็ยากที่จะปั้นแต่งเรื่องขึ้นเอง และยังสอดคล้องกับหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ถึง ผบ.ตร.ลงฉบับวันที่ 22 ก.ย.2548 ด้วย ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 , 2 , 7 , 8 , 10 ,11 ทำผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามมาตรา 157 ที่เป็นบทหนักสุด จำคุกคนละ 5 ปี ส่วนจำเลยที่ 6 , 9 จำคุกคนละ 4 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ซึ่งจัดทำเอกสารเท็จ โดยส่วนจำเลยที่ 3 , 4 , 5 ยกฟ้อง
ต่อมาจำเลยที่ 1 , 2 , 6 , 7 , 8 , 9 , 10 , 11 ยื่นอุทธรณ์
ต่อมาวันที่ 30 ส.ค.2556 มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยพิพากษาแก้ ให้ลดโทษ จำเลยที่ 1 , 2 , 7 , 10 เหลือจำคุกคนละ 4 ปี และจำคุกจำเลยที่ 8 , 11 คนละ 3 ปี รวมทั้งให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6 , 9 และยกฟ้องจำเลยที่ 3 , 4 , 5
ต่อมาจำเลยที่ 1 , 2 , 7 , 8 , 10 , 11 ยื่นฎีกาสู้คดี ส่วนจำเลยที่ 3 , 4 , 5 อัยการโจทก์ไม่ได้ยื่นฎีกา คงฎีกาในส่วนจำเลยที่ 6 , 9 ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง
โดยคดีนี้ศาลนัดอ่านคำพิพากษาฎีกาครั้งแรกวันที่ 22 มี.ค.2561 แต่เนื่องจาก พ.ต.ต.สมิง จำเลยที่ 1 และ จ.ส.ต.(หญิง) ศศิธร จำเลยที่ 9 มีอาการป่วย โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงศาลเชื่อว่าป่วยจริง จึงนัดอ่านคำพิพากษาฎีกาครั้งที่ 2 ในวันที่ 11 พ.ค.2561 แต่ปรากฏว่า ร.ต.อ.วันเผด็จ แท่นรัตน์ จำเลยที่ 10 ยื่นคำร้องขอกลับคำให้การใหม่เป็นรับสารภาพ และขอให้ศาลลงโทษสถานเบา
ศาลจึงส่งสำนวนและคำร้องของจำเลยที่ 10 คืนให้ศาลฎีกาพิจารณาอีกครั้ง กระทั่งนัดฟังคำพิพากษาฎีกาครั้งที่ 3 ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.พรรณศักดิ์ วรบูลย์สวัสดิ์ จำเลยที่ 2 ก็ยื่นคำร้องขอกลับคำให้การเป็นรับสารภาพเช่นกัน
วันนี้ พ.ต.อ.สมิง จำเลยที่ 1 กับพวกจำเลยลูกน้องที่ได้ยื่นฎีกาและได้รับการประกันตัวเดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา โดยเมื่อถึงเวลานัด ศาลได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาในส่วนที่จำเลยที่ 2 และ 10 ที่ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่เคยให้การปฏิเสธ เป็นให้การรับสารภาพ
ศาลฎีกาพิเคราห์แล้วเห็นว่า การยื่นขอถอนคำให้การเดิมของจำเลยที่ 2 และ 10 ต้องยื่นก่อนศาลมีคำพิพากษา พฤติการณ์เป็นลักษณะการประวิงเวลาการอ่านคำพิพากษาฎีกา จึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 10
จากนั้นศาลได้อ่านผลคำพิพากษาศาลฎีกา โดศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 , 2 , 7 , 8 , 10 , 11 กระทำความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบซึ่งเป็นบทหนักสุด จากเดิมจำคุกจำเลยที่ 1 , 2 , 7 , 10 คนละ 4 ปี เป็นจำคุกคนละ 3 ปี เพิ่มโทษปรับคนละ 2 หมื่นบาท
ส่วนจำเลยที่ 8 , 11 จากเดิมจำคุกคนละ 3 ปี แก้เป็นจำคุกคนละ 2 ปี เพิ่มโทษปรับคนละ 2 หมื่นบาท โดยโทษจำคุกจำเลยทั้ง 6 ให้รอลงอาญาไว้คนละ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ทั้งนี้ ภายหลัง พ.ต.อ.สมิง กับพวกจ่ายค่าปรับแล้ว ได้เลี่ยงผู้สื่อข่าวเดินทางกลับไปทางด้านหลังศาลทันที
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี