‘สธ.’ผนึกกำลังองค์กรวิทย์ฯ-มหาวิทยาลัย คิดค้น‘วัคซีนโควิด-19’ คาด 6 เดือนได้คำตอบ
28 กุมภาพันธ์ 2563 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี กระทรวงสาธารณสุข และหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงนามMOU ร่วมมือกันในการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนของประเทศไทย ระหว่าง กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ องค์การเภสัชกรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สภาวิจัยแห่งชาติ และบริษัท ไบโอเทคไทย
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การเซ็นเอ็มโอยูต่อต้านโรคโควิด- 19 ครั้งนี้ คิดว่าจะทำให้ประเทศไทยมีมั่นใจ มากขึ้น ในการต่อสู้กับโรคร้าย และการพึ่งพาตัวเอง และคิดว่าจะมีความสำเร็จ ภายใน 6 เดือน น่าจะมีคำตอบ เพราะเรามี Infra structure ด้านการผลิตวัตซีนและการวิจัยอยู่แล้ว เพราะถ้าเกิดการระบาดมากจริง เราจะพึ่งคนอื่นยาก นับเป็นนิมิตรหมายที่ดีของประเทศไทย และเรายังมีบริษัท เอกชน อย่างบริษัทไปโอเทคที่ทำวัคซีนระดับโลกมาแล้ว ก็จะมาร่วมกัน และนำองค์ความรู้แต่ละองค์กรมาช่วยกัน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีศักยภาพพัฒนาวัคซีน สามารถเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัส ครั้งแรกชองโลกรองจากประเทศจีน เรามีวัตถุดิบที่จะสามารถให้หน่วยงานต่างๆไปพัฒนาวิจัยวัคซีนได้ และยังสามรถเลี้ยงเซลล์ที่มีเชื้อ ไวรัสได้สามารถนับจำนวนมันได้ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะต้องดูว่าถ้าฉีดวัคซีนหรือให้ยาภูมิคุ้มกันแล้ว ไวรัสจะลดจำนวนลงหรือไม่ และกรมฯยังมีศูนย์สัตว์ทดลอง ที่ได้มาตรฐานระดับโลก สามารถทดลองในสัตว์ และทดลองวัดภูมิคุ้มกัน และวัคซีนได้ และยังมาตรฐานที่ควบคุมคุณภาพ
อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวอีกว่า เนื่องจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นเชื้ออุบัติใหม่จัดอยู่ในกลุ่มที่มีอันตรายร้ายแรง คณะกรรมการฯ และคณะอนุกรรมการด้านวิชาการและด้านกฎหมาย ภายใต้พระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ.2558 จึงได้เพิ่มชื่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นเชื้อโรคที่ประสงค์ควบคุมตามมาตรา 18 (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2563 ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ท่านอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ให้จำแนกเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นเชื้อกลุ่ม 3 ที่จะต้องควบคุม ผู้ที่จะครอบครองต้องขออนุญาตที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หากหน่วยงานใดมีความประสงค์จะขอครอบครองเชื้อดังกล่าว จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษสัตว์ โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยินดีที่จะสนับสนุนหากการศึกษาวิจัยดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สูงสุดในการรักษา ป้องกัน และควบคุมโรค
ส่วน นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า เราจะเป็นหน่วยงานกลางรวบรวมสรรพกำลังของประเทศ ในการคิดค้นวัคซีนโควิด 19 และสถาบันมีผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีน วิจัยและพัฒนาวัคซีนอยู่แล้ว ที่ผ่านมาทางสถาบันวัคซีน ยังได้ร่วมมือมือปรึกษากับประเทศ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกามาตลอด ส่วนแนวทางการคิดค้นวัคซีน จะต้องดำเนินการตามพิมพ์เขียวของขององค์การอนามัยโลก ซึ่งแนะนำให้แต่ละประเทศดูโจทย์ร่วมกัน เพื่อไม่ให้พัฒนาไม่ซ้ำซ้อนกัน แต่ต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยบางประเทศอาจจะคิดค้นได้ไกลกว่า ก็จะทำให้จึงหาโจทย์ทำงานร่วมกันก่อน
“ทางองค์การอนามัยโลก มีข้อกำหนด มีเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อไม่ให้การวิจัยทำซ้ำในเรื่องที่รู้ว่าทำแล้วไม่ได้ผล พอรู้ใครไปได้ไกลกว่า ทำแบบนี้ได้ผล ก็จะช่วยต่อยอด” นพ.นคร กล่าว
ด้านตัวแทนจากมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมีความพร้อมที่จะทำวัคซีน มีความพร้อมในเรื่องการทดลองวิจัยในมนุษย์ มีเครื่องมือ ห้องแล็ป ที่ปลอดภัยสูง สามารถทำงานเรื่องเชื้อที่มีความรุนแรงได้ และที่ผ่านมามหิดล ยังทำวิจัยร่วมกับ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียของสหรัฐ และมีเครือข่ายกับประเทศอื่นๆอีก
ส่วนตัวแทนจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุฬาฯมีศูนย์คิดค้นวิจัย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ในการทดลองทดลองในสัตว์ เคยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยระดับท็อปๆ เช่น ม.เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ คิดว่าการจับมือร่วมกันกับหน่วยงานอื่นๆ จะทำให้เราเผชิญวิกฤติได้ ถ้าเราทุ่มเทจริงจัง และมีความพร้อมร่วมมือทุกฝ่าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี