พรก.ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร
‘บิ๊กตู่’ลั่นจัดการเด็ดขาด-ไม่ปรานีพวกฉวยโอกาส
26มีนาคมถึง30เมษายน
คลอด16ข้อกำหนดเข้ม
ยังไม่ประกาศเคอร์ฟิว
ไทยป่วยเพิ่ม107ราย
นายกฯ ประกาศใช้ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ทั่วราชอาณาจักรสกัด “โควิด-19”ระบาด ดีเดย์ 26 มีนาคม-30 เมษายน ลั่นนำทัพคุมเอง แถลงดึงอำนาจปลัดทุกกระทรวงมาบูรณาการ ฮึ่มบังคับใช้ข้อกฎหมายเข้มจัดการพวกฉวยโอกาส ยันไม่ปิดร้านค้าของจำเป็นในการดำรงชีพย้ำจำเป็นต้องใช้มาตรการเข้มงวดเร่งด่วนคุมระบาด วอนปชช.ร่วมมือเสียสละเพื่อสังคม รบ.ออกประกาศข้อกำหนดฉบับ 1 ระบุ 16 ข้อ
“วิษณุ”แจงยิบ4คำสั่งมีทั้ง “ห้ามทำ–ให้ทำ–ควรทำ”ย้ำยังไม่ประกาศ เคอร์ฟิวยังไม่ปิดประเทศ แต่ห้ามบุคคล3กลุ่ม ออกนอกเคหสถาน เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง ชี้เดินทางข้าม จว.ได้ แต่อาจมีมาตรการตรวจเข้มป้องกันคนติดเชื้อออกนอกพื้นที่ สธ.พบป่วยเพิ่ม107ราย ยอดสะสม 934 ราย โคม่า4 หมอพี่เลี้ยงติด 2 สัมผัสบุคลากรแพทย์ 25คน ต้องกักตัว 14วัน เหตุผู้ป่วยปิดบังข้อมูลเสี่ยง
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล “โควิด-19” ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 10 และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โคโรนา 2019 หรือโควิด-19 รายวัน
ป่วยเพิ่ม107สะสม934โคมา4
โดยนพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า สรุปรวมประเทศไทยพบผู้ป่วยยืนยันสะสม 934 ราย กลับบ้านแล้ว 70 รายและรักษาอยู่ใน รพ.จำนวน 860 ราย มีผู้ป่วยอาการหนัก 4 ราย และเสียชีวิต 4 ราย วันนี้พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด 19 เพิ่มอีก 107 ราย นับเป็นรายที่ 828-934 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้
กลุ่มที่ 1 เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันเดิมและเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 27 ราย ได้แก่ 1.เกี่ยวข้องกับสนามมวย 4 ราย ได้แก่ พนักงานขับรถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และรถรับจ้าง พบผู้ป่วยที่ กรุงเทพมหายคร (กทม.) และสมุทรสาคร 2.เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง 5 ราย ได้แก่ นักท่องเที่ยว นักร้อง นักดนตรี ประชาสัมพันธ์และเจ้าของสถานบันเทิง 3.ผู้ป่วยที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีการรายงานมาก่อนหน้านี้ 14 ราย มีอาชีพรับจ้าง ค้าขาย พนักงานบริษัท นักศึกษา คนขับรถแท็กซี่ เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ต้องขัง พบผู้ป่วยกระจายอยู่ที่ เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ชลบุรี ภูเก็ตและ กทม. 4.เกี่ยวข้องกับพิธีทางศาสนาที่ประเทศมาเลเชีย จำนวน 4 ราย พบผู้ป่วยที่ สงขลาและยะลา
หมอติด2สัมผัสรวม25กักตัว14วัน
กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยรายใหม่มี 13 ราย ได้แก่ 1.ผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ 6 ราย เป็นชาวไทยและชาวต่างชาติ ได้แก่ ชาวอังกฤษ ฟินแลนด์ เยอรมนีและอเมริกัน 2.ผู้ที่ทำงานหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่แออัดที่จะต้องใกล้ชิดกับคนจำนวนมาก หรือเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ 5 ราย ได้แก่ พนักงานบริษัท พนักงานร้านนวด แคชเชียร์ และเจ้าหน้าที่สนามบิน 3.บุคลากรทางการแพทย์ 2 ราย พบว่าเป็นแพทย์พี่เลี้ยง หรือแพทย์ผู้ใช้ทุนปีที่ 2 และได้ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล (รพ.) มีอาการเล็กน้อย แต่ยังทำงานแผนกผ่าตัด ร่วมรับประทานอาหารกับเพื่อนร่วมงาน จึงมีผู้สัมผัสใกล้ชิดร่วมด้วย ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ห้องผ่าตัด 15 ราย แพทย์ร่วมงาน 10 ราย รวมผู้สัมผัสใกล้ชิด 25 ราย และทั้งหมดถูกพักงานและให้อยู่ที่บ้าน เพื่อกักกันตนเอง 14 วัน
สาเหตุเพราะผู้ป่วยปิดบังประวัติเสี่ยง
“ส่วนสาเหตุการติดเชื้อเนื่องมาจากผู้ป่วยปิดบังประวัติและเมื่อสอบสวนโรคประวัติย้อนหลังจึงให้ข้อมูลว่าสามีไปสนามมวยมา ดังนั้น อยากขอความรับผิดชอบจากประชาชนให้บอกข้อมูลทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง เพราะส่งผลกระทบต่อแพทย์และบุคคลกรแพทย์ มีผลต่อระบบสาธารณสุขที่ขาดแคลนกำลังมารักษาผู้ป่วยในช่วงวิกฤตโรคโควิด-19”โฆษกกระทรวงสาธารณสุขกล่าว และว่า กลุ่มที่ 3.ผู้ป่วยกลุ่มที่ยืนยันทางห้องปฏิบัติการว่าติดเชื้อแล้ว แต่ต้องรอสอบสวนโรคและประวัติเสี่ยงเพิ่มเติม 67 ราย
นายกฯลงนามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน26มี.ค.-30เม.ย.
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร มีเนื้อหาว่า โดยที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ซึ่งเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายและเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อชีวิตของผู้ได้รับเชื้อ ประกอบกับขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค ทั้งยังไม่มียารักษาโรคโตยตรง จึงมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้นจำนวนมากทั่วโลก จึงเป็นสถานการณ์อันกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งต้องใช้มาตรการเข้มงวดและเร่งด่วน เพื่อควบคุมมิให้โรคแพร่ระบาดออกไปในวงกว้าง ประกอบกับมีการกักตุนสินค้าจำเป็นต่อการเฝ้าระวังและควบคุมติดตามการระบาด การป้องกัน และการรักษาโรค ตลอดจนการกักตุนเครื่องอุปโภคบริโภค และสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน ซึ่งต้องป้องกันมิให้เกิดภาวะขาดแคลน เป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการเร่งด่วนเพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยของประชาขน และการดำรงชีวิตโดยปกติสุขของประชาชน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมถึงวันที่ 30 เมษายน
นายกฯแถลงการณ์นำทัพรบ.สู้โควิด-19
ต่อมาเวลา 14.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงการประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีสาระสำคัญว่า ประเทศไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของภาวะวิกฤตไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น และเลวร้ายยิ่งขึ้นอีกหลายเท่า จะส่งผลต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ รวมทั้งรายได้ และการใช้ชีวิตของคนไทยทุกคน ตนจำเป็นต้องดำเนินมาตรการต่างๆด้วยความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพื่อหยุดการแพร่ระบาด พร้อมลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน โดยตนเข้ามาบัญชาการจัดการกับไวรัสโควิด-19 ทุกมิติเต็มตัว ทั้งการป้องกันการระบาด รักษาพยาบาลไปจนถึง การเยียวยาและฟื้นฟูประเทศ จากผลกระทบของโควิด-19 โดยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร อาศัยอำนาจ ตามพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และจะยกระดับศูนย์บริหารสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ได้ตั้งไว้แล้ว ให้เป็นหน่วยงานพิเศษ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดฯเพื่อบูรณาการทุกส่วนราชการ และสั่งทุกส่วนราชการได้อย่างมีเอกภาพ รวดเร็ว โดยให้ปลัดกระทรวงต่างๆรับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านต่างๆตามภารกิจที่แต่ละกระทรวงรับผิดชอบ โดยจะประชุมร่วมกันทุกวัน เพื่อให้ทุกฝ่ายรับทราบข้อมูลสถานการณ์เป็นภาพเดียวกัน และเมื่อตนแจกจ่ายงาน ทุกฝ่ายจะรับทราบแผนงาน ทำงานสอดประสานไปในทิศทางเดียวกันได้
ซึ่งผู้ที่จะรายงานต่อประชาชน จะต้องเป็นตนหรือผู้ที่ผมมอบหมายเท่านั้น
วอนปชช.ร่วมมือเสียสละเพื่อส่วนรวม
นายกฯกล่าวอีกว่า สำหรับข้อกำหนดต่างๆ จะมีประกาศตามมา หลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว และยืนยัน ภายใต้พระราชกำหนดฉบับนี้ จะไม่มีการปิดร้านค้าที่จำหน่ายสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ข้อกำหนดเหล่านี้ อาจสร้างความไม่สะดวกกับประชาชนบ้าง แต่ขอให้ทุกท่านร่วมมือและเสียสละเพื่อส่วนรวม งานหลักที่เราต้องให้ความสำคัญมากที่สุด และทำควบคู่กันคือ งานป้องกันการระบาด ด้วยการควบคุมทุกพื้นที่และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย รวมทั้งการเยียวยา ฟื้นฟูประเทศ จากผลกระทบของเชื้อไวรัสโควิด-19
วอนสื่อรับผิดชอบเสนอข่าว-ต้านข่าวปลอม
“ผมสั่งการให้แถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ละมาตรการ รวมถึงคำแนะนำต่อประชาชน เพียงวันละหนึ่งครั้ง เพื่อลดความซ้ำซ้อน ลดการบิดเบือนข้อมูล และลดการสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ยืนยันว่าประชาชน จะได้รับข้อมูลที่เป็นทางการ ตรงไปตรงมา โปร่งใส และชัดเจน จากเพียงแหล่งเดียว เป็นประจำทุกวัน ขอความร่วมมือให้สื่อมวลชน เพิ่มความรับผิดชอบในการรายงานข่าว ให้ใช้ข้อมูลจากการแถลงประจำวันของทีมสื่อสารเฉพาะกิจและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก แทนขอสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางการแพทย์ ให้ปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่”นายกฯกล่าว และย้ำว่า สำหรับผู้ใช้โซเชียลมีเดียทุกคน พวกเราคือ ทีมเดียวกัน ทุกคนสามารถร่วมแชร์ข้อมูลที่ถูกต้องจากการแถลงประจำวัน ช่วยกันรายงาน และต่อต้านการแชร์ข่าวปลอม
ฮึ่มใช้กม.จัดการพวกฉวยโอกาส
นายกฯกล่าวด้วยว่า ขอเตือนกลุ่มคนที่จะฉวยโอกาส หาผลประโยชน์บนความทุกข์ร้อนความเป็นความตายของประชาชนให้รู้ไว้ว่า อย่าคิดว่าจะหลุดพ้นไปได้ ตนจะทำทุกทาง ที่จะใช้กฏหมายจัดการกับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างรวดเร็ว เด็ดขาด และไม่ปรานี การบังคับใช้กฎหมายและข้อกำหนดต่างๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมโรค จะเข้มข้นขึ้นมากทั่วประเทศ ทั้งการเอาผิดผู้ที่ละเมิดกฎหมาย และการเอาผิดข้าราชการ และเจ้าพนักงานที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่
“ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ขอให้คำมั่นสัญญากับทุกคนว่า ผมจะเดินหน้าสุดความสามารถ เพื่อนำประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ ความปลอดภัยและสวัสดิภาพของ ประชาชนชาวไทยทุกคน เป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ผมขอให้ทุกคนเชื่อมั่น และร่วมมือกัน ฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน ประเทศไทยที่รักของเราทุกคน จะต้องกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง เราจะสู้ไปด้วยกัน และเราจะชนะไปด้วยกัน “ นายกฯ กล่าว
ประกาศข้อกำหนดฉบับที่ 1ระบุ16ข้อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายกรัฐมนตรีออกแถลงการณ์สถานการณ์ฉุกเฉินผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแล้ว รัฐบาลได้ออกประกาศข้อกำหนด ตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 ฉบับที่ 1 มีรายละเอียดสำคัญ 16 ข้อ ลงนามโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการกำหนดแนวทางปฎิบัติตัวให้ประชาชนทราบ อาทิ การให้อำนาจผู้ว่าฯประกาศห้ามเข้าพื้นที่เสี่ยง การปิดสถานที่เสี่ยงติดโรค การปิดช่องทางเข้ามาในราชอาณาจักร การห้ามการกักตุนสินค้า การห้ามชุมนุม และการเสนอข่าว รวมถึงคำแนะนำอื่น มีรายละเอียดสำคัญ ได้แก่ การห้ามเข้าพื้นที่เสี่ยง ตามที่ผู้ว่าฯหรือเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคออกประกาศไว้ ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการติดต่อโรค โดยให้อำนาจผู้ว่าฯพิจารณาสั่งปิด แต่เบื้องต้นต้องปิด ผับ สนามมวย สนามแข่งขัน สนามเด็กเล่น ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวให้พิจารณาตามความจำเป็น ปิดช่องทางเข้ามาในราชอาณาจักร ให้ผู้รับผิดชอบปิดทุกช่องทาง ยกเว้นนายกฯ หรือผู้รับผิดชอบอนุญาตหรือเป็นการขนส่งสินค้า บุคคลคณะทูต ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ทำงาน ผู้มีสัญชาติไทย โดยต้องมีใบรับรองแพทย์ ห้ามกักตุนสินค้า ห้ามชุมนุม ห้ามเสนอข่าว ไม่เป็นจริง หรือทำให้คนกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูล ให้เจ้าหน้าที่เตือนแก้ไข ระงับ ลบข่าวได้ แต่ถ้ากระทบรุนแรง ให้ดำเนินคดีด้วยพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ให้3กลุ่มอยู่บ้าน-สั่งจนท.ตั้งด่านสกัดผู้ป่วย
ข้อ 7 มาตรการเตรียมรับสถานการณ์ ให้รพ.จัดหาเวชภัณฑ์ เตรียมความพร้อม เจ้าหน้าที่ขอความร่วมมือประชาชน ช่วยตรวจสอบคนกักกันตัวได้ ข้อ8 มาตรการพึงปฎิบัติ ให้ผู้สูงอายุ มากกว่า 70 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้มีโรคประจำตัว อยู่ในบ้าน ยกเว้นต้องมาพบแพทย์ รักษาพยาบาลเข้มงวดการออกวีซ่า ลงตราประทับการดูแลความเรียบร้อย กทม. ให้ตำรวจจัดจุดตรวจ เวรยาม ตามเส้นทางคมนาคม ต่างจังหวัด ให้มีด่านจุดตรวจ สกัดผู้ป่วย และดูแลการเดินทางข้ามพื้นที่ สามารถขอให้ทหารช่วยได้
สถานที่สำคัญยังคงเปิดบริการ รพ. คลีนิก ร้านยา ร้านอาหาร โรงงาน ธุรกิจการเงิน ธนาคาร เอทีเอ็ม ตลาดนัดที่จำหน่ายอาหาร ปั๊มน้ำมัน การเดินทางต่างจังหวัด ไม่ห้าม แต่ให้ชะลอ ถ้าไม่จำเป็น หากจำเป็นต้องถูกคัดกรองตามมาตรการของราชการ ประเพณีนิยม งานศพ งานแต่ง ไหว้บรรพบุรุษ ยังจัดได้ แต่ต้องป้องกันโรคให้เหมาะสม โดยในส่วนมาตรการป้องกันนั้น มีการขอให้บุคคลอายุมากกว่า 70 ปี และอายุน้อยกว่า 5 ปี อยู่ในเคหสถาน เนื่องจากเป็นผู้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและมีอาการรุนแรง ยกเว้นการออกมาพบแพทย์ รักษาพยาบาล
“วิษณุ”แจงมี4คำสั่ง“ห้ามทำ-ให้ทำ-ควรทำ”
จากนั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวชี้แจงมาตรการแก้ปัญหาการระบาดของเชื้อโควิด-19 เพิ่มเติมว่า ประกาศดังกล่าวสามารถโอนอำนาจของรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆตามกฎหมายใดก็ได้มาเป็นของนายกฯ ซึ่งได้รับข้อเสนอ และจะมีการออกคำสั่งให้โอนอำนาจรัฐมนตรี ตามพ.ร.บ.40ฉบับ มาเป็นของนายกรัฐมนตรี โดย คำสั่งที่ 1 เป็นการโอนอำนาจเพื่อความรวมเร็วบูรณาการ คำสั่งที่ 2 เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้รักษาสถานการณ์ นายกฯจะเป็นผู้อำนวยสถานการณ์ทั่วประเทศ รองนายกฯจะเป็นผู้ช่วยเรียงตามลำดับรักษาราชการ ได้แก่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายก นายวิษณุ นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ รองนายกและรมว.พาณิชย์ และนายอนุทิน ชาญวรีกูล รองนายกและรมว.สาธารณสุข ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าจะรับผิดชอบด้านต่างๆทั่วราชอาณาจักร คำสั่งที่ 3 การตั้งศูนย์หรือหน่วยบริหาร ศูนย์บริหารสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ยกระดับเป็นศอฉ. กรณีจำเป็นเร่งด่วนจะพิจารณาสั่งการในนาม ศอฉ. โดยนายกฯตั้งกรรมการเฉพาะกิจได้ และจะจัดโครงการอีก 5-6 ศูนย์ โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติจะรับไปดำเนินการ
คำสั่งที่ 4 ข้อกำหนดมี 16 ข้อ มีทั้งหมด 3 ประเภท 1.ห้ามทำ เช่น ห้ามเข้าพื้นที่เขตกำหนด แต่หากในจังหวัดใดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดยังไม่ออกคำสั่ง ให้ผู้ว่าฯสั่งห้ามในลักษณะปิดอย่างเดียวกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกแห่ง สถานที่บางอย่างให้พิจารณาตามความเหมาะสม เช่น แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ชายหาดต่างๆ ศาสนสถาน ขณะที่การเดินทาง อากาศยาน เรือ ยานพาหนะ ทุกด่านทั่วประเทศ ห้ามเข้ามาในประเทศ ยกเว้น บุคคลดังต่อไปนี้ ผู้ที่มีสัญชาติไทย บุคคลที่เป็นคณะทูต เป็นต้น นอกจากนี้ ยังห้ามชุมนุม ห้ามแพร่ข่าวปลอม,เฟคนิวส์ 2.ให้ทำ บังคับส่วนราชการ เช่น ให้หน่วยงานของรัฐเตรียมมาตรการช่วยเหลือประชาชน
ยืนยันยังไม่ประกาศเคอร์ฟิว
3.ควรทำ เป็นคำแนะนำประชาชน เรายังไม่ถึงขั้นบังคับ เช่น ไม่ควรออกนอกบ้าน บุคคลสามประเภทที่ทางการแพทย์ระบุมีความเสี่ยงสูงมากคือ บุคคลสูงอายุเกิน 70ปี บุคคลที่เป็นโรคประจำตัว และเด็กอายุ 5 ขวบลงมา ขอให้อยู่กับบ้านเว้นแต่ต้องออกมาทำกิจกรรมต่างๆ ขณะที่เรื่องการเดินทางไปต่างจังหวัดนั้นจะมีมาตรการทำให้การเดินทางยากและลำบากเว้นคนที่จำเป็นจริงๆ เช่น อาจมีการตั้งจุดสกัดหรือด่านโดยเฉพาะรอยต่อระหว่างจังหวัด หรือตรวจดูว่า ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่ นั่งห่างกัน 1 เมตรหรือไม่ และบางกรณีอาจใช้แอพลิเคชั่นติดตามตัว. นอกจากนี้ รัฐบาลได้ขอร้องว่าบางอย่างอย่าปิด เช่น โรงงาน ธนาคาร ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า การขนส่งสินค้า การซื้อหาอาหารตามปกติ แต่ห้ามกักตุนสินค้า ธุรกิจหลักทรัพย์ สถานที่ราชการ ทั้งนี้ยืนยันว่ายังไม่ประกาศเคอร์ฟิว
ผบ.ทบ.ออกคำสั่ง7ข้อเคอร์ฟิวหน่วยทหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ออกคำสั่งการจากผู้บัญชาการทหารบก ถึงกำลังพลกองทัพบก ลงวันที่ 24 มีนาคม ระบุถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งในส่วนกองทัพบก มีกำลังพลได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัส โควิด-19 จำนวน 5 นาย กำลังพลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง และอยู่ระหว่างกักตัวตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข 238 นาย ซึ่งกองทัพบกมีระบบติดตามตรวจสอบอย่างเข้มงวด ดังนั้น เพื่อให้การควบคุมและปกป้องกำลังพล ครอบครัวของกองทัพบกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงสั่งการให้ปฏิบัติตามคำสั่ง โดยมีผลการบังคับใช้กับกำลังพลในสังกัด ทบ. ทุกนาย 7 ข้อ ดังนี้
1.กำลังพลที่พักอาศัยในบ้านพักของทางราชการ ให้หลีกเลี่ยงการออกนอกบริเวณโดยไม่จำเป็น ห้ามนำบุคคลภายนอกเข้ามาพักอาศัยเด็ดขาด ยกเว้นได้รับอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษร จาก ผบช.ระดับ ผบ.พัน. ขึ้นไป และห้ามกลับเข้าบนพักของทางราชการเกินเวลา 21.00 น. หากจำเป็นให้ขออนุญาต ผบช. เป็นรายบุคคล ส่วนกำลังพลที่มีบ้านพักอาศัยส่วนตัวอยู่นอกหน่วย เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการการติดตาม และเฝ้าระวัง ให้แจ้งที่อยู่บ้านพัก และช่องทางการติดต่อสื่อสาร ที่ติดตามตัวได้ ตลอดเวลา 2. การเดินทางออกนอกพื้นที่ กทม. หรือ จังหวัดหนึ่งไปยังอีกจังหวัดหนึ่ง ให้ทำได้ในเฉพาะกรณีปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง ยกเว้นลากิจที่จำเป็น เร่งด่วน ฉุกเฉิน ให้รายงานโดยตรงต่อ ผบช.ของตนเอง
สั่งคัดกรองเข้มคนเข้า-ออก
3.ให้ผบ.หน่วย ปรับปรุงอาคารสถานที่ และสิ่งแวดล้อมภายในหน่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดความแออัดของกำลังพล และลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค 4. ให้หน่วยปรับเปลี่ยนระเบียบปฏิบัติ ประจำวันเพื่อป้องกันโรคตามคำแนะนำ และให้รักษาวินัยเคร่งครัด 5. งดปล่อยลาพักของทหารกองประจำการ เพื่อคุมการแพร่กระจาย 6.ให้ทุกหน่วยพิจารณาจำกัดทางเข้า - ออกของหน่วย คัดกรอง, เฝ้าระวัง บุคคลเข้าหน่วย และ7. ผู้บังคับกองร้อย และผู้บังคับกองพัน ต้องเป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด หากไม่กำกับการปฏิบัติฯ หรือได้รับการรายงานฯ ถือว่าขัดคำสั่ง จะมีผลในการปรับย้ายทันที
บุรีรัมย์ยันวิสัญญีแพทย์ติดโควิด
ขณะที่สถานการณ์ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในหลายจังหวัด พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างที่จ.บุรีรัมย์ นายธัชกร หัตถาธยากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์แถลงยืนยันมีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด-19 เป็นวิสัญญีแพทย์ที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ติดเชื้อโควิดจริง แต่ไม่ใช่ผู้ป่วยรายใหม่ เป็นหนึ่งในผู้ป่วย 5 ราย ที่แถลงยืนยันผลตรวจไปก่อนหน้านี้ จากการสอบสวนโรค พบวิสัญญีแพทย์ดังกล่าว เดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดไปยังภาคใต้ กรุงเทพมหานครและนครราชสีมา ทั้งนี้ ได้มีการกักตัวแพทย์ พยาบาล บุคลาอื่นและคนไข้ทั่วไปที่มาใช้บริการ ที่เสี่ยงสัมผัสเชื้อต้องเข้าข่ายถูกกักตัวและเฝ้าติดตามอาการ 14 วัน ประมาณ 30-40 คน ในจำนวนนี้บางส่วนกักตัวที่โรงแรม BRICBOX บางส่วนกักตัวที่บ้าน จะมีทีมแพทย์ตรวจวัดไข้และติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ อาการผู้ติดเชื้อทั้ง 5 ราย อาการดีขึ้น มีเพียงชายต่างชาติอีก 1 คน ที่อาการหนัก แพทย์รักษาและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
‘สุรินทร์’พบอีก1เชฟกลับจากฝรั่งเศส
นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์เผยว่า ขณะนี้จ.สุรินทร์ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 1 ราย รวมทั้งหมด 4 ราย โดย 3 รายแรก ติดเชื้อจากเวทีมวยลุมพินี อาการดีขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายล่าสุด เป็นคนจ.บุรีรัมย์ แต่มามีครอบครัวที่สุรินทร์ ก่อนป่วยประกอบอาชีพพ่อครัว ร้านอาหารที่ฝรั่งเศส เดินทางกลับถึงประเทศไทย วันที่ 19 มีนาคม คนในครอบครัวเอารถส่วนตัวไปรับกลับบ้าน กักตัวอยู่ในการดูแลของครอบครัวและแพทย์ โดยใกล้ชิด จึงไม่มีพื้นที่เสี่ยงต้องประกาศ ผู้เสี่ยงสัมผัสในวงเฝ้าระวังมีเพียง 7 คน
จันทบุรีเจอรายที่2เป็นหญิงขับรถส่งนทท.
สำนักงานสาธารณสุขจันทบุรี รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็นรายที่ 2 เป็นหญิงอายุ 51 ปี อาชีพขับรถตู้รับเหมา รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากสนามบินสุวรรณภูมิไปเกาะช้าง จ.ตราด สรุปเหตุการณ์ครั้งนี้ คาดผู้ป่วยรับเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. ทำให้มีกลุ่มเสี่ยงทุกจุด โดยเฉพาะผู้โดยสารรถที่ผู้ป่วยเป็นคนขับ รวม 36 คน เป็นต่างชาติ 30 คน คนไทย 6 คน
สงขลาล็อกดาวน์เพิ่มหลังติดเชื้อพุ่ง18ราย
เช่นเดียวกับ ที่จ.สงขลา การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ น่าห่วงหลังพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 18 คน ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลามีคำสั่งล็อกดาวน์ปิดสถานที่ ห้างร้านและสถานที่ต่างๆทั้งจังหวัด 20 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม- 12 เมษายน และล่าสุดขยายพื้นที่ล็อกดาวน์แหล่งท่องเที่ยวทั้งชายหาดแหลมสมิหลาน้ำตกทุกแห่ง ปั้มน้ำมัน ส่วนโรงพยาบาลหาดใหญ่ขอความร่วมมืองดเยี่ยมผู้ป่วยทุกกรณีและให้เฝ้าระวังเพียง 1 คน
พิษณุโลกพบรายแรกของจว.
วันเดียวกัน คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดพิษณุโลก นำโดย นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก แถลงข่าวพบผู้ป่วยโควิด-19 รายแรกของ จ.พิษณุโลก ซึ่งผู้ป่วยหญิงไทย ชาว อ.เมือง จ.พิษรุโลก อายุ 43 ปี ประวัติเดินทางไปกรุงเทพฯวันที่ 7 - 9 มีนาคมคืนวันที่ 7 มีนาคมไปเที่ยวผับในซอยนานา ตั้งแต่ 4 ทุ่ม ถึงตี 4 วันที่ 8 มี.ค.ไปท้องฟ้าจำลอง วันที่ 9 มี.ค.เดินทางกลับ จ.พิษณุโลก (โดยเครื่องบิน) วันที่ 11 มี.ค.เดินทางไป จ.น่าน และเริ่มมีอาการไข้ วันที่ 12 มี.ค.เดินทางกลับ จ.พิษณุโลก (โดยรถยนต์ส่วนตัว) วันที่ 16 มีนาคมไปตรวจที่โรงพยาบาลพิษณุเวช ด้วยอาการไข้ 37.8 องศาเซลเซียส และหายใจไม่เต็มปอด วันที่ 18 มีนาคมเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชน ด้วยอาการไข้ 38.9 องศาเซลเซียส ไอและหายใจไม่เต็มปอด วันที่ 20 มีนาคมแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ผู้ป่วยขอตรวจโควิด-19 วันที่ 24 มี.ค.ทราบผลการตรวจเป็นบวก จึงเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลพุทธชินราช ปัจจุบันผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรงและได้รับยาต้านไวรัสตามมาตรฐานการรักษา สำหรับสถานการณ์ของพิษณุโลก ปัจจุบันมีผู้ป่วยสังเกตอาการ 84 ราย ตรวจไม่พบเชื้อ 78 ราย รอผล 5 ราย พบเชื้อ 1 ราย ซึ่งเป็นที่จังหวัดที่ 48 ของประเทศ ที่พบเชื้อ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี