วันจันทร์ ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ในประเทศ
‘เครียด-เศร้า-เสพ-ก่อเหตุร้าย’ ภัยแทรกซ้อนในสังคมมุ่งคัดคนแพ้-ชนะ

‘เครียด-เศร้า-เสพ-ก่อเหตุร้าย’ ภัยแทรกซ้อนในสังคมมุ่งคัดคนแพ้-ชนะ

วันจันทร์ ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.
Tag : ความเครียด ซึมเศร้า สังคมป่วย สุขภาพคนไทย สุขภาพจิต
  •  

“13.4 ล้านคน” เป็นจำนวนของ “คนไทยที่มี (หรือเคยมี) ปัญหาสุขภาพจิต” ขณะที่ “4.4 ล้านคน” คือจำนวนของ “คนไทยที่ประสบปัญหาสุขภาพจิตในรอบ 12 เดือนล่าสุด” ตามการสำรวจระบาดวิทยาสุขภาพจิตของคนไทยระดับชาติ พ.ศ.2566 โดยกรมสุขภาพจิต ซึ่งถูกนำมาบอกเล่าในงานเปิดตัว “รายงานสุขภาพคนไทย ปี 2568” ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ ย่านงามดูพลี-สาทร กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา

รายงานดังกล่าวซึ่งจัดทำโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ฉายภาพที่น่าเป็นห่วงในสังคมไทย โดยเฉพาะ “คนหนุ่ม – สาว ช่วงอายุ 18 – 24 ปี คือกลุ่มเสี่ยงสูงของปัญหาสุขภาพจิต” และที่น่ากังวลไปกว่านั้น ข้อมูลจากรายงานสถานการณ์การฆ่าตัวตายในประเทศไทย โดยกรมสุขภาพจิต ยังพบด้วยว่า ในปีงบประมาณ 2566 มีคนไทยพยายามฆ่าตัวตาย 31,110 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 47.7 ต่อแสนประชากร และในจำนวนนี้ทำสำเร็จ 5,172 คน หรือ 7.9 ต่อแสนประชากร


“แม้ว่าการฆ่าตัวตายจะเป็นผลลัพธ์สุดท้ายของปัญหาสุขภาพจิต แต่ก็เป็นภาพสะท้อนของสถานการณ์สุขภาพจิตของคนในประเทศได้เป็นอย่างดี ในประเทศไทยเป็นที่น่ากังวลว่าอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นใน 10 ปีที่ผ่านมา โดยในปีงบประมาณ 2566 คนไทยพยายามฆ่าตัวตาย 31,110 คน หรือ 47.7 ต่อแสนประชากร เฉลี่ยวันละ 85 คน และเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย 5,172 คน หรือ 7.9 ต่อแสนประชากร เฉลี่ยวันละ 14 คน สูงกว่าเป้าหมายที่กรมสุขภาพจิตตั้งไว้ที่ไม่เกิน 6.3 คนต่อแสนประชากร”

ข้อค้นพบต่อมา “จำนวนผู้เข้ารับบริการด้านจิตเวชในประเทศไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง” สะท้อนปัญหาสุขภาพจิตในหลายมิติ เช่น ความเครียดสูง ความเสี่ยงซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย โดยสถิติในการให้บริการโรคจิตเวชที่สำคัญ พ.ศ.2566 โดยกรมสุขภาพจิต พบว่า “3 อันดับแรกของอาการทางจิตที่มีผู้มาเข้ารับการรักษา” อันดับ 1 โรควิตกกังวล 408,249 คน รองลงมา โรคซึมเศร้า 399,645 คน และอันดับ 3  โรคจิตเภท 299,771 คน

นอกจากนั้น เครื่องมือออนไลน์ “Mental Health Check In” ซึ่งกรมสุขภาพจิตได้นำมาใช้คัดกรองความเสี่ยงปัญหาสุขภาพจิต ในช่วงปี 2564 -2567 ที่ผ่านมา พบว่า คนไทยมีความเสี่ยงเครียดสูง ซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทและสถานการณ์ของปีนั้นๆ โดยปี 2567 พบว่า ร้อยละ 9.3 มีความเสี่ยงเครียดสูง ร้อยละ 10 เสียงซึมเศร้า และร้อยละ 5.5 เสี่ยงฆ่าตัวตาย ซึ่งแม้จะลดลงจากปี 2566 แต่ยังคงต้องดูแลสุขภาพจิตจองประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาสุขภาพจิตยังเชื่อมโยงกับ “ปัญหายาเสพติด” ข้อมูลการสำรวจระบาดวิทยาสุขภาพจิตของคนไทยระดับชาติ พ.ศ.2566 พบว่า คนไทยกว่า 6 ล้านคนเคยใช้สารเสพติดอย่างน้อย 1 ชนิดในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดย “กระท่อม” เป็นสารเสพติดที่คนไทยใช้มากที่สุด รองลงมาคือ “กัญชา” ทั้งเพื่อสันทนาการและใช้ในทางการแพทย์ อีกทั้งยังพบว่า “คนไทย 1.3 ล้านคนเข้าข่ายติดสุรา” ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิตและสังคม  

“ผู้ป่วยจิตเวชที่เกิดจาการใช้สารเสพติด โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอาการจิตเวชรุนกรงและเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง มีโอกาสสูงที่จะทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น หลงผิด หรือมีความคิดทำร้ายผู้อื่น ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อคดีร้ายแรงในชุมชน ผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการเฝ้าระวังและดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อโอกาสการกำเริบซ้ำ”

อีกหนึ่งสิ่งที่รายงานฉบับนี้หยิกยกมาพูดถึงคือ “การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล” ข้อมูลจาก Digital Insights Thailand 2024 , We are social 2024 พบว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา คนไทยถึงร้อยละ 98.6 ใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ด้วยวัตถุประสงค์ต่างๆ โดย 5 อันดับแรก คือ อันดับ 1 ร้อยละ 57.8 ติดต่อเพื่อนและครอบครัว รองลงมา ร้อยละ 39.2 อ่านข่าว อันดับ 3 ร้อยละ 36.8 ฆ่าเวลา อันดับ 4 ร้อยละ 35.9 ดูว่าคนพูดถึงอะไรกันบ้าง อันดับ 5 ร้อยละ 32.3 หาแรงบันดาลใจในการหาอะไรทำหรือซื้อ   

รายงานชี้ความกังวลในประเด็นนี้ไปที่ “FOMO (Fear Of Missing Out)” หรือความรู้สึกกลุ่มพลาดหรือตกกระแสข้อมูลหรือเหตุการณ์สำคัญ นอกจากนั้นยังกล่าวด้วยว่า “การใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไปอาจนำไปสู่การเสพติดและส่งผลกระทบเชิงลบต่อผู้ใช้ได้” ซึ่งพบว่า “ในทวิปเอเชียมีอัตราการเสพติดสื่อสังคมออนไลน์สูงถึงร้อยละ 31 เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากทวีปแอฟริกา” โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนมีแนวโน้มเสพติดมากกว่ากลุ่มอายุอื่น ซึ่ลผลกระทบที่เกิดขึ้นมีทั้งปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวที่แย่ลง ประสิทธิภาพในการเรียนและการทำงานลดลง และสุขภาพโดยรวมที่ถดถอย

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวถึงข้อค้นพบจากรายงานสุขภาพคนไทย ปี 2568 ว่า ในส่วนของเด็กและเยาวชน ที่เป็นกลุ่มเปราะบางเพราะกำลังจะก้าวไปสู่วัยผู้ใหญ่ พยายามสร้างตัวตน แต่ทั้งพ่อแม่ผู้ปกครอง โรงเรียนและสังคมก็พยายามตัดสินให้ไม่เป็นผู้ชนะก็เป็นผู้แพ้ เป็นคนสำเร็จหรือล้มเหลว จึงเป็นแรงกดดันที่พุ่งไปยังเด็กและเยาวชน

“สิ่งที่เรากำลังพูดถึงและพยายามไปแก้คนฆ่าตัวตายหรืออะไรต่างๆ และซึมเศร้า ใต้ยอดภูเขาน้ำแข็งเราจะเห็นว่ากลุ่มที่เสี่ยงต่อการซึมเศร้า เสี่ยงต่อความเครียดและการฆ่าตัวตายอยู่ที่ประมาณ 10% แต่เสี่ยงฆ่าตัวตายประมาณ 5% และกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กทั้งสิ้น ดังนั้นใต้ยอดผู้เขาน้ำแข็งเป็นส่วนที่เราต้องให้ความสำคัญ เพราะกลุ่มเสี่ยงเดี๋ยวเขาจะกลายเป็นกลุ่มโรค และกลายเป็นจิตเวช จิตเภท” นพ.พงศ์เทพ กล่าว

ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวต่อไปว่า เนื้อหาของรายงานพูดถึงการเสพติดสิ่งต่างๆ เช่น ติดเกม ติดออนไลน์ สารเสพติด ซึ่งไม่สามารถพูดถึงได้แบบแยกเดี่ยวๆ เพราะ “ปัญหาสุขภาพจิตอยู่ที่ตัวเขานั้นเป็นผู้แพ้ แต่เขาก็อยากมีความสุขอย่างผู้ชนะ ซึ่งเมื่อไม่มีก็ต้องไปหาความสุขเทียมจากสารเสพติดต่างๆ เช่น บุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กัญชา กระท่อม หรือการติดเกม” แม้อาจเรียกว่าเป็นความสุขจอมปลอมหรือความสุขเทียม แต่สำหรับคนคนนั้นคือความสุขเดียวที่เขาหาได้จากภาวะตรงนี้ซึ่งสังคมกดดัน

ดังนั้นในขณะที่ด้านหนึ่งมีเรื่องสุขภาพจิตเชิงบวก เช่น ที่บอกว่าคนไทยมีความสุขเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) หรืออันดับ 49 ของโลก รวมถึงมีความพึงพอใจในชีวิตสูงถึงร้อยละ 70 แต่นั่นคือความสุขของผู้ชนะ และอีกด้านหนึ่ง “ผู้ที่มีปัญหาจิตเวชสุดท้ายก็จะกลับมาทำร้ายคนอื่นๆ ในสังคม” การสร้างสังคมที่มีความสุขมวลรวมจึงต้องใช้การอยู่กันแบบเอื้ออาทรและการดูแลซึ่งกันและกัน

นำไปสู่คำถามใหญ่ที่ว่า “การที่ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) สูงขึ้นทำให้คนมีความสุขได้จริงหรือไม่ หรือบริโภคนิยมที่ทำให้เราสุขสบายนั้นเป็นเครื่องมือเดียวหรือไม่ที่ทำให้สังคมมีความสุข” เพราะการใช้ระบบทุนนิยมหรือบริโภคนิยมคือการเลียนแบบธรรมชาติ เช่น ม้าลายต้องขอบคุณสิงโต เพราะสิงโตจะล่าม้าลายที่ป่วยหรือวิ่งหนีไม่ทัน ทำให้เหลือแต่ม้าลายที่เข้มแข็ง ซึ่งสังคมก็กำลังทำเช่นนั้นกับเด็ก เยาวชนและคนทุกคน เพื่อคัดเลือกผู้แพ้และผู้ชนะ แล้วก็ทิ้งไว้จนเป็นปัญหาซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย 

ทั้งนี้ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ท่านเคยพูดถึงสงครามโรค 3 ยุค คือ 1.โรคติดเชื้อ สามารถเอาชนะได้ด้วยเทคโนโลยี เช่น ยาปฏิชีวนะ วัคซีน 2.โรคจากกิเลสหรือแพ้ใจตนเอง หมายถึงกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิ โรคหัวใจ ความดัน ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารหวาน มัน เค็ม และ 3.สังคมเป็นศัตรูของสังคมเอง หรือสังคมป่วย ซึ่งข้อนี้เป็นสิ่งที่ร้ายที่สุด ดังนั้นเราจะกลับมาหาวิธีในการที่ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคสังคมและทุกภาคส่วนไม่ได้เอา GDP เป็นตัวตั้ง แต่เอาความสุขของทุกคนเป็นตัวตั้งได้อย่างไร

“อยากเห็นสังคมดีทุกคนจะต้องมาร่วมมือกัน แต่คนที่มีมากยิ่งช่วยได้มาก บริษัทห้างร้านเอกชนต่างๆ มาร่วมกันดูแลสังคมได้อย่างไร คนทุกๆ คน ไม่ต้องคนรวยอย่างเดียว คนที่พอมีพอกินจะช่วยสังคมได้อย่างไร เป็นคำถามที่ฝากไว้ในมือของทุกคน และฝากสื่อที่ช่วยสื่อสารไปต่อ” นพ.พงศ์เทพ กล่าว

ขณะที่ รศ.ดร.มนสิการ กาญจนะจิตรา นักวิชาการ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จของประเทศไทยเพิ่มขึ้น อย่างในปี 2566 ซึ่งเป็นปีล่าสุดของการเก็บข้อมูล อยู่ที่ 7.94 ต่อแสนประชากร ซึ่งถือว่าสูงเกินไป รวมถึงในปีดังกล่าวยังพบมากกว่า 3 หมื่นรายที่พยายามฆ่าตัวตาย หรือเฉลี่ย 85 รายต่อวัน หรือ 5,000 รายที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ หากคิดเป็นวันจะอยู่ที่ 14 รายต่อวัน เป็นจำนวนที่อยากให้ลดลง

ทั้งนี้ ธรรมนูญสุขภาพได้ระบุเป้าหมายสุขภาพจิตในระยะเวลา 5 ปี 1.คนไทยต้องมีความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต กับ 2.คนไทยต้องได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิตตั้งแต่แรก ลดปัญหากาการเจ็บป่วยด้วยโรคจิตเวช อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 11 ของคนไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตน้อย ร้อยละ 30 ปานกลาง ร้อยละ 26 มาก และร้อยละ 31 มากที่สุด ขณะที่เมื่อแยกตามเพศ ผู้ชายจะมีความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตน้อยกว่าผู้หญิง และหากแยกตามอายุ กลุ่มที่น่าเป็นห่วงคืออายุ 55 ปีขึ้นไป จึงเป็นกลุ่มประชากรที่ต้องให้การส่งเสริม

“การเข้าถึง เข้าใจ เลือกได้ ปฏิบัติได้ กลุ่มคนที่คิดว่าเป็นทักษะที่ยาก คราวนี้ดูตามอายุ กลุ่มที่โด่งที่สุดที่เห็นคือกลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการเข้าถึง ก็คือถ้าเขามีปัญหาสุขภาพจิต ไม่แน่ใจว่าจะต้องไปหาอย่างไร เริ่มตั้งแต่ตอนหาข้อมูลเลยที่เป็นข้อท้าทาย ซึ่งตรงนี้ก็เป็นอีกส่วนที่คิดว่ามันเป็น Gap (ช่องว่าง) ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ทีเราสามารถไปช่วยส่งเสริมเพิ่มเติมได้” รศ.ดร.มนสิการ กล่าว

ด้าน สุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวถึง 3 ปัจจัยที่มีผลต่อปัญหาสุขภาพจิต 1.ความสมดุลทางประชากร การมีคนกลุ่มหนึ่งมากกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง นำไปสู่ “ภาระที่ต้องแบกรับ” และทำให้ประชากรกลุ่มที่ต้องแบกรับภาระนั้นเกิดความเครียด วิตกกังวลและซึมเศร้า 2.ยุคดิจิทัล เช่น FOMO กลัวรู้ไม่เท่าคนอื่น เกิดการเปรียบเทียบ รวมถึงการหลอกลวงทางออนไลน์ ทำให้เกิดความเครียดและปัญหาสุขภาพจิตตามมา และ 3.ยาเสพติด ซึ่งเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพจิตและสังคม เช่น การทำร้ายตนเองและผู้อื่น

“ข้อสรุปของผม 3 ประเด็น น่าจะเป็น Priority (การจัดลำดับ) ที่สำคัญ และจะมี Keyword (คำสำคัญ) ปิดท้ายในส่วนนี้ว่า ถ้าเราไม่ร่วมกันสนใจเรื่องสุขภาพจิต วันหนึ่งก็จะมีคนมาทำร้ายเรา..และคนที่ทำร้ายเราไม่รู้จักกัน” รองเลขาธิการ สช. ฝากทิ้งท้าย     

หมายเหตุ : รายงานสุขภาพคนไทย ปี 2568 ยังมีอีกหลายหัวข้อที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถเข้าไปดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์  https://www.thaihealthreport.com/th/index.php 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • น่าห่วง! คนไทย13ล้านมีปัญหาสุขภาพจิต ชี้บาดแผล‘เสพ-เศร้า-ปลิดชีพ’เหตุสังคมมุ่งแต่ผลแพ้-ชนะ น่าห่วง! คนไทย13ล้านมีปัญหาสุขภาพจิต ชี้บาดแผล‘เสพ-เศร้า-ปลิดชีพ’เหตุสังคมมุ่งแต่ผลแพ้-ชนะ
  • อย่าแลก‘สุขภาพคนไทย’กับ‘หมูปนเปื้อน’สารเร่งเนื้อแดง อย่าแลก‘สุขภาพคนไทย’กับ‘หมูปนเปื้อน’สารเร่งเนื้อแดง
  • รัฐบาลชวนประเมินจิตใจผ่าน www.วัดใจ.com แนะ 4 แนวทางเลี่ยง‘ซึมเศร้าหลังปีใหม่’ รัฐบาลชวนประเมินจิตใจผ่าน www.วัดใจ.com แนะ 4 แนวทางเลี่ยง‘ซึมเศร้าหลังปีใหม่’
  • สุขภาพจิตคนไทยน่าห่วง! สถิติปลิดชีพตัวเองพุ่ง-อาชญากรวัยเยาว์เพิ่ม สุขภาพจิตคนไทยน่าห่วง! สถิติปลิดชีพตัวเองพุ่ง-อาชญากรวัยเยาว์เพิ่ม
  • ‘กรมสุขภาพจิต’กางแผนลดเครียด-ซึมเศร้า‘ผู้ปฏิบัติงานในเรือนจำ’ ‘กรมสุขภาพจิต’กางแผนลดเครียด-ซึมเศร้า‘ผู้ปฏิบัติงานในเรือนจำ’
  •  

Breaking News

‘17 นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ มธ.’กาง 5 ข้อ ร่อนจม.ถึงนายกฯ-ครม.ปมตั้ง‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’

'สว.ชิบ'กดดันรัฐบาล เร่งแสดงท่าทีชัดเจน ปมทุ่นระเบิด หวั่นเหตุบานปลาย

'สมชัย'อัด'กกต.'ล่าช้า ปมเพิ่งทำคำวินิจฉัยคดี'หมอเกศ'เสร็จ ทั้งที่มีมติฟันผิดตั้งแต่ 3 เดือนที่แล้ว

'สมยศ'ขออภัยข้อมูลคลาดเคลื่อน! แจงแอปส่งอาหาร หักค่าคอมมิชชั่น 24% ไม่ใช่ 40%

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved