อย่าแลก‘สุขภาพคนไทย’กับ‘หมูปนเปื้อน’สารเร่งเนื้อแดง
ท่ามกลางกระแสการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งมีการหยิบยกประเด็นการเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ มาเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการลดภาษีนำเข้าสินค้าอื่น ๆ คำถามที่คนไทยทุกคนควรถามคือ “มูลค่าทางเศรษฐกิจคุ้มค่ากับความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภคหรือไม่?”
เนื้อหมูจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีการใช้สารแรคโตปามีน (Ractopamine) ซึ่งเป็นสารเร่งการเจริญเติบโตที่ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อของหมูให้ดูแน่น ฟู และมีปริมาณมากขึ้น แต่ในทางกลับกัน สารนี้ถูกห้ามใช้ในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย สหภาพยุโรป จีน และรัสเซีย เนื่องจากผลกระทบด้านสุขภาพ
จากรายงานขององค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ เองยังยอมรับว่า แรคโตปามีนสามารถส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยผู้ที่ได้รับสารนี้ในระดับที่สะสม อาจเกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ สั่น หายใจถี่ หรือคลื่นไส้อาเจียน
ไม่เพียงเท่านั้น ในโซเชียลมีเดียอย่าง X (Twitter) และ Facebook มีเสียงสะท้อนจากผู้บริโภคในสหรัฐฯ เองที่กล่าวถึงกลิ่นเหม็นสาบแรงของหมูอเมริกัน และเนื้อสัมผัสที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ
สิ่งที่ผู้บริโภคควรระวังยิ่งไปกว่านั้นคือ เนื้อหมูนำเข้าซึ่งเป็นชิ้นส่วนตกเกรดที่ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นหัวหมู เครื่องใน หรือเนื้อหมูติดมันปนเปื้อน โดยมีการเปิดเผยจากสื่อท้องถิ่นในสหรัฐฯว่าบริษัทแปรรูปเนื้อสัตว์บางแห่งส่งชิ้นส่วนเหล่านี้ไปยังตลาดต่างประเทศที่มีกฎระเบียบอ่อนแอกว่า เช่น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากไทยยอมผ่อนปรนให้เนื้อหมูสหรัฐฯเข้ามาโดยไม่มีการกักกันหรือควบคุมสารตกค้างที่เข้มงวดพอ นั่นคือการเปิดประตูให้เนื้อหมูตกเกรด (หรือขยะหมูที่เขาทิ้ง) ให้เข้ามาสู่โต๊ะอาหารของคนไทยอย่างง่ายดาย
ไม่ควรนำสุขภาพคนไทยมาต่อรองเกมการค้า
คนไทยไม่ควรถูกบังคับให้ “แลก” สุขภาพของตนเองกับผลประโยชน์ทางการค้าระยะสั้น ในเมื่อประเทศไทยมีหมูเลี้ยงเองในระบบปิดจำนวนมาก ผลิตได้เพียงพอกับการบริโภคในประเทศ อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ มีมาตรฐาน GAP และ GMP ที่ใช้ควบคุมฟาร์มและโรงเชือด โดยเนื้อหมูไทยยังไม่ใช้แรคโตปามีนตามกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข
นอกจากนี้การยอมเปิดตลาดให้นำเข้าหมูราคาถูก จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรไทยให้ต้องล้มละลายกันตลอดห่วงโซ่การผลิต ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหารในระยะยาว และเมื่อนั้นระดับราคาหมูนำเข้าจะแพงเท่าไหร่ก็ห้ามไม่ได้ เพราะไทยไม่มีเกษตรกรที่จะทำหน้าที่เลี้ยงหมูให้คนไทยได้กินอีกแล้ว
ในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่ง ขอเรียกร้องให้รัฐยึดประโยชน์ของ “ผู้บริโภค” เป็นหลัก โดยต้องไม่เปิดทางให้เนื้อหมูที่ปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงเข้ามาในระบบการค้า ไม่ว่าในรูปแบบใด เพราะเมื่อสุขภาพประชาชนเสียหายแล้ว จะไม่มีการลดภาษีข้อใดมาชดเชยได้
อย่าให้หมูแรคโตปามีนล่อลวงคนไทยด้วยราคาถูก แล้วต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลราคาแพงในวันหน้า ด้วยอาหารคือสิทธิขั้นพื้นฐาน ขณะที่ความปลอดภัยคือหลักประกันที่รัฐต้องยึดมั่น
#วลัญช์ ศรัทธา นักวิชาการอิสระ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี