การทำงานของบรรดาสส.ในรัฐสภาคือการนำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนมานำเสนอทุกแง่มุมในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้รัฐบาลรับฟัง พร้อมกับเสนอทางออกหรือแนวทางแก้ไขบรรเทาความเดือดร้อนนั้น และหนึ่งในปัญหาความเดือดร้อนที่ถูกพูดถึงอยู่เสมอคือ ความเดือดร้อนของกลุ่มเกษตรกรชาวไร่ยาสูบทั่วประเทศจำนวนกว่า 50,000 ครอบครัว หรือคิดเป็นจำนวนผู้ได้รับความเดือดร้อนประมาณกว่า 200,000 คน ซึ่งนอกจากกำลังได้รับความเดือดร้อนจากพิษโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจล่มไปทั้งประเทศแล้ว ยังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเนื่องมาจากการประกาศใช้ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 ที่ทำให้ราคาบุหรี่พุ่งสูงขึ้นจากภาษีที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรในช่วงต้นปี 2563 สส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจึงประสานเสียงในทิศทางเดียวกัน คือ ขอให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กลุ่มเกษตรกรชาวไร่ยาสูบทั่วประเทศ กรณีเร่งด่วนที่สุดมี 2 เรื่อง 1) ขอให้รัฐบาลเลื่อนการขึ้นภาษีบุหรี่อัตรา 40% ออกไปก่อน และ 2) เร่งอนุมัติงบประมาณจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้เกษตรกรจากที่ถูกลดโควตาการปลูกใบยาสูบลงถึง 50% ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ปีที่ผ่านมาว่า“การขึ้นภาษีเหล้า ยา บุหรี่ ต้องช่วยกัน ถ้าไม่เหมาะสมก็ปรับใหม่” แต่เวลาล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน ดูเหมือนยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากรัฐบาลในการทบทวนพิจารณานโยบายภาษียาสูบเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะยาวให้เกษตรกร
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อต้นปีเช่นกันว่า ภาษีสรรพสามิตใหม่สร้างปัญหาจริง ซึ่งผิดไปจากความตั้งใจเดิมของรัฐบาลที่ต้องการใช้กฎหมายฉบับนี้เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมยาสูบไทย โดยข้อกำหนดใหม่ของกฎหมายฉบับนี้ บุหรี่ทั้งของไทยของต่างประเทศ ทุกซองต้องเจอภาษีเหมือนกันคือ ภาษีที่หักเข้ากองทุนผู้สูงวัยและภาษีมหาดไทย แต่เมื่อประกาศใช้กฎหมายแล้วผลปรากฏว่า “บุหรี่ในประเทศซึ่งเคยราคาต่ำกว่า 60 บาทต่อซอง กลับเพิ่มขึ้นไปเกินกว่า 60 บาท พอเจอกับเรื่องการบริหารจัดการเข้า มันก็เลยทำให้บุหรี่ไทยเกิดปัญหา ส่วนจะช่วยอย่างไรเดี๋ยวค่อยไปว่ากัน” คำกล่าวของนายวิษณุเช่นนี้ เป็นการให้ความชัดเจนว่า รัฐบาลรับทราบปัญหาความเดือดร้อนของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยาสูบไทย และเตรียมหาทางแก้ไขปัญหา เพียงแต่ยังไม่มีความชัดเจนในแผนงานหรือแนวทางใดๆ ออกมา
จึงเป็นหน้าที่ของกลุ่ม สส. จากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกยาสูบ ไม่ว่าจะสังกัดพรรคการเมืองใด ที่ต่างก็ได้รับข้อร้องเรียนมาจากกลุ่มชาวไร่ยาสูบในพื้นที่ของตัวเองผ่านทางการพูดคุยรับฟังปัญหา จดหมายของชาวไร่ รวมทั้งชาวไร่ยาสูบในบางจังหวัด เช่น สุโขทัย และแพร่ ที่ขึ้นป้ายขนาดใหญ่ วอนให้ สส. ทำหน้าที่ในสภาฯ แทนกลุ่มเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ เรียกร้องไปยังรัฐบาลซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งการชี้แจงต้นตอปัญหา ลักษณะความเดือดร้อนที่เกษตรกรต้องเผชิญ และการเสนอทางออก
นายจักรัตน์ พั้วช่วย สส. พรรคพลังประชารัฐ จ.เพชรบูรณ์ กล่าวย้ำผลกระทบที่ชาวไร่ยาสูบถูกลดโควตารับซื้อใบยาสูบลงเกือบ 50% เพราะภาษีบุหรี่ที่เพิ่มขึ้นสูงเกินไป การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) จึงมียอดจำหน่ายบุหรี่ลดลง และไม่ต้องการเพิ่มสต๊อกใบยาสูบอีก การถูกลดโควตาทำให้รายได้จากอาชีพเกษตรกรรมที่เลี้ยงดูครอบครัวของเกษตรกรกลุ่มนี้ หายไปครึ่งหนึ่ง “ผมขอให้รัฐออกมาตรการในการจ่ายเงินชดเชยในส่วนต่างที่ถูกลดโควตาลงซึ่งเกิดจากการลดภาษี”นี่คือเรื่องเร่งด่วนเพราะปัญหาปากท้องเป็นเรื่องเฉพาะหน้าที่จำเป็น แม้จะมีคำพูดจากนายวิษณุ เครืองาม ชัดๆ ว่ารัฐบาลเตรียมงบประมาณเรื่องเงินชดเชยไว้แล้ว แต่จนถึงวันนี้ เกษตรกรยาสูบยังไม่ได้รับข้อมูลยืนยันใดๆ ในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
เช่นเดียวกับ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรูสส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าความเดือดร้อนของชาวไร่ยาสูบจากการถูกลดโควตาเพราะการขึ้นภาษีบุหรี่ ซึ่งแนวทางหนึ่งที่หาก ยสท. ยังจำเป็นต้องลดโควตาการปลูกใบยาของชาวไร่อีกในปี 2563 นี้ ก็ไม่ควรลดโควตาเกินกว่า 20% และขอให้รัฐเร่งจ่ายเงินชดเชยรายได้ครัวเรือนที่สูญไปให้เหมาะสม ที่สำคัญรัฐบาลควรตั้งคณะทำงานแก้ปัญหาชาวไร่ยาสูบทั่วประเทศอย่างจริงจัง ล่าสุดนางศิริวรรณ ได้ทำหนังสือถึงรมว.การคลังด้วยตนเอง เพื่อขอให้พิจารณาเลื่อนการขึ้นภาษียาสูบ 40% ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าออกไปก่อน
ในส่วนของสส.พื้นที่ จ.สุโขทัย ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกยาสูบแหล่งใหญ่ที่สุดของประเทศ นางพรรณสิริ กุลนารถศิริ สส.พรรคพลังประชารัฐ ได้พูดถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่า ความทุกข์อย่างใหญ่หลวงของชาวไร่จะไม่ได้รับการบรรเทา หากภาษีสรรพสามิตจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจากอัตรา 20% เป็น 40% ในเดือนตุลาคม ปี 2563 รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขเรื่องนี้
ความชัดเจนเรื่องการ “เลื่อน” หรือ “ไม่เลื่อน” ขึ้นภาษีบุหรี่อัตรา 40% ที่มีกำหนดใช้วันที่ 1 ตุลาคม 2563 นี้ เป็นอีกประเด็นเร่งด่วนที่กลุ่มเกษตรกรชาวไร่ยาสูบมีความกังวลมาก เพราะหากรัฐบาลยังเดินหน้าขึ้นภาษีตามกำหนดเดิม ความเดือดร้อนซ้ำเติมแบบเดิมจะยิ่งเพิ่มขึ้น ด้านการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ได้ชี้แจงผลกระทบเรื่องนี้ไว้ในรายงานผลประกอบการประจำปีงบประมาณ 2562 ด้วยว่า การแบกรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ 2561 และ 2562 ส่งผลให้ยสท.มีกำไรสุทธิลดลงไปแล้วมากกว่าร้อยละ 90 และการดำเนินงานอาจถึงขั้นขาดทุนรวมทั้งเกิดภาวะขาดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจหากยังแบกรับภาระภาษีที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในเดือนตุลาคม 2563
การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรครั้งนั้นกลุ่ม สส.ฝ่ายค้านก็ร่วมประสานเสียงในประเด็นความเดือดร้อนของชาวไร่ยาสูบ และชี้ให้รัฐบาลบาลเห็นว่า นโยบายภาษีที่ดีต้องไม่ก่อความเดือดร้อนให้ประชาชนนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ สส.พรรคเพื่อไทย จ.อุตรดิตถ์ ย้ำเรื่องผลกระทบที่มีต่อชาวไร่ยาสูบจากอัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบ 20% และ 40% และการขอให้รัฐบาลเลื่อนขึ้นภาษี 40% ออกไปเพราะ “อัตราภาษีแบบนี้เป็นตัวทำลายอุตสาหกรรมยาสูบไทย ยสท.จึงต้องเจ๊งเพราะเรื่องภาษี”
ยังมีประเด็นผลกระทบจากภาษีบุหรี่อัตราสูงที่ทำให้เกิดการทะลักเข้ามาของบุหรี่เถื่อน กระทบต่อยอดขายสินค้าในร้านค้าปลีก นายพีรเดช คำสมุทร สส.พรรคอนาคตใหม่ จ.เชียงราย กล่าวว่า “นี่เป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อภาษีบุหรี่ถูกกฎหมายสูงมาก ก็จะมีบุหรี่หนีภาษี บุหรี่ปลอมทะลักเข้ามาตามแนวตะเข็บชายแดน นี่ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ ยสท.มีรายได้น้อยลงเพราะขายได้น้อยลง ผมอยากเสนอให้ชะลอการขึ้นภาษีให้เป็นระดับค่อยเป็นค่อยไปจากปกติที่อยู่ที่ 20% จะเพิ่มทีเดียวเป็น 40%ผมว่ามันมากเกินไป ควรเพิ่มทีละ 5-10% จาก 20% ไปจบที่ 40% เพื่อให้ชาวไร่ยาสูบได้ปรับตัว”
ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของตัวแทนปากเสียงประชาชนและเกษตรกรชาวไร่ยาสูบที่ทำงานของตนเองอย่างแข็งขัน แต่ดูเหมือนว่าเสียงจาก สส. เหล่านี้จะยังไปไม่ถึงรัฐบาล เพราะกระทรวงการคลังที่มีนายอุตตมสาวนายน เป็นเจ้ากระทรวง และยังมีนายสันติพร้อมพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วย ที่กำกับดูแลการยาสูบแห่งประเทศไทย ยังไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่เหล่านี้แต่กลับจะเดินหน้าขึ้นภาษี 40% ต่อไปทั้งๆ ที่ตอนนี้ ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
ขณะที่กระทรวงการคลังเตรียมจัดซอฟต์โลนกว่า 2 หมื่นล้านบาท อุ้มสายการบินที่ได้รับผลกระทบจากโควิด รวมทั้งเตรียมอุ้มการบินไทยอีกกว่า 1 แสนล้านบาทส่วนเงินชดเชยให้เกษตรกรชาวไร่นั้นใช้เพียงแค่ 160 ล้านบาท แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉยทอดทิ้งชาวไร่เหล่านี้ ผลลัพธ์จึงอยู่ที่ว่าฝ่ายบริหารบ้านเมืองจะรีบเร่งดำเนินการให้เกิดความชัดเจนและเป็นรูปธรรม ทั้งเงินชดเชยรายได้ที่ต้องระบุจำนวนตัวเลขและกรอบระยะเวลาเบิกจ่าย รวมทั้งการขึ้นภาษีอัตรา 40% ตุลาคมนี้ ต้องชัดเจนให้เร็วที่สุดว่าจะ “เลื่อน” หรือไม่ เพราะหากไม่มีการดำเนินการใดๆ เชื่อว่าการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อคงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ของพรรครัฐบาลอย่างแน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี