ก่อนหน้านี้ “นสพ.แนวหน้า” นำเสนอเรื่องราวของ 3 จังหวัดนำร่อง “จันทบุรี-สกลนคร-กระบี่” ที่ทำงานร่วมกับ คณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อยกระดับรายได้ของเศรษฐกิจฐานราก
โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม ด้วยการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งมีอยู่แล้วในมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้าไปสนับสนุนประชาชนในพื้นที่
เจ้าภาพหลักผู้ริเริ่มแนวคิด ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร บอกเล่า ที่มาที่ไปก่อนจะมาเป็นโครงการนำร่องข้างต้น ว่า ในช่วงก่อนหน้านี้มีโอกาสได้ตระเวนไปตามจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ และได้เห็นปัญหาความยากจนของเกษตรกรรายย่อย ซึ่งแม้จะอยู่คนละภาคแต่สภาพปัญหานั้นคล้ายกัน
“ปัญหาใหญ่ที่สุดคือเกษตรกรขาดแคลนหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ที่จะเอาไปใช้เพิ่มผลผลิต ในการยกระดับคุณภาพผลผลิต จนกระทั่งถึงเรื่องการขาย พอมาถึงการเลือกตั้งในครั้งนี้ (2562) ผมก็เป็นกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมของสภาผู้แทนราษฎร ผมก็คุยกับเพื่อน สส. ที่อยู่ในคณะกรรมาธิการด้วยกัน ว่าถ้าพวกเราทำงานแบบกรรมาธิการทั่วไป ที่ว่าพอมีเรื่องมาร้องเรียนเราก็ลงไปตรวจสอบ จะเป็นการตั้งรับเกินไป ผมก็เสนอว่าพวกเราน่าจะทำงานเชิงรุกมากกว่า
เราตรงเข้าไปหาปัญหา ไปดูว่ากรรมาธิการจะช่วยแก้ปัญหาอย่างไรได้บ้าง เมื่อเป็นอย่างนี้ทุกคนก็เห็นตรงกันหมด ผมก็เลยตั้งคำถามว่าเราจะไปทำที่ไหนล่ะ? เราจะเริ่มต้นกันอย่างไร? หลังจากคุยกันทั้งหมดเราก็ได้ข้อสรุปก่อนที่จะเลือกพื้นที่ ว่าการขับเคลื่อนอันนี้ต้องมีองค์ประกอบ 3 ส่วน 1.มีประชาชนที่มีปัญหาในพื้นที่จริง เราต้องตรงเข้าไปแก้ปัญหาให้เขาได้ ส่วนนี้คือหัวใจ 2.ต้องมีหน่วยงานที่มีความรู้ มีเทคโนโลยีที่จะเอาไปแก้ปัญหาให้ชาวบ้านได้ ส่วนใหญ่ก็คือมหาวิทยาลัยหรืออาจารย์ทั้งหลาย และ 3.ส่วนราชการ กระทรวงที่เกี่ยวข้อง” ศ.ดร.กนก กล่าว
ประเด็นต่อมา มีการพูดคุยกับในคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ ว่า “ขอให้เรื่องนี้ปลอดการเมือง..เน้นการช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง” ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าคณะกรรมาธิการแต่ละชุดมี สส.มาจากหลายพรรคการเมือง และ สส. แต่ละคนก็ต้องการทำผลงานให้พื้นที่ของตนเอง โดย ศ.ดร.กนก เล่าว่า ได้ตัดสินใจทำเป็นแบบอย่างด้วยการสอบถามไปยัง พรรคเพื่อไทยว่ามีพื้นที่ใดบ้างที่พร้อม แทนที่จะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ สส. ทุกคนในคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ เกิดความไว้วางใจกัน ทำงานร่วมกันได้แม้ทางการเมืองจะอยู่คนละขั้วก็ตาม
“หมุดหมายแรก” ของแนวคิดถูกปักลง ณ “สกลนคร” จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย สส.พรรคเพื่อไทย เจ้าของพื้นที่ “สกุณา สาระนันท์” ซึ่งอยู่ในคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ ด้วยนั้น พร้อมให้การสนับสนุน เมื่อได้พื้นที่แล้ว คณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ จึงลงพื้นที่ไปทำงานตามขั้นตอน ไล่ตั้งแต่สอบถามปัญหาของชาวบ้าน พูดคุยกับทางมหาวิทยาลัยว่ามีองค์ความรู้อะไรพอจะช่วยได้บ้าง และกลับมาหารือร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ว่าจะส่งเสริมอย่างไร
ตามมาด้วยอีก 2 จังหวัดคือ “กระบี่” แม้ในเวลานั้น “พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล” ชาว จ.กระบี่ ยังไม่ได้เป็น สส. เพราะลำดับบัญชีรายชื่อยังเลื่อนขึ้นมาไม่ถึง แต่ด้วยความที่มาเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ ได้ไปเห็นตัวอย่างจาก จ.สกลนคร แล้วสนใจมาก จ.กระบี่ จึงกลายเป็นพื้นที่นำร่องแห่งที่ 2 ส่วน “จันทบุรี” จังหวัดทางภาคตะวันออก มาจากการเสนอของที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ อีกท่านหนึ่งคือ “ดร.ปวีณา จริยฐิติพงศ์” โดยให้เหตุผลว่าจ.จันทบุรี มีความพร้อมจากจุดแข็งทั้งกิจการอัญมณี ประมง และสวนผลไม้
อนึ่ง ที่ผ่านมา “ภาคเกษตรของไทยมักถูกมองว่าเป็นภาระเพราะไม่ยอมปรับตัว”ซึ่งประเด็นนี้ ศ.ดร.กนก อธิบายว่า “ความจริงแล้วเกษตรกรพร้อมปรับตัว แต่ต้องพิสูจน์ให้เห็นก่อนว่าวิธีใหม่ได้ผลจริง” อย่างกรณีของ จ.สกลนคร ในพื้นที่ที่เป็นดินลูกรังไม่สามารถปลูกพืชใดๆ ได้ มีการนำงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร) ไปปรับปรุงดินจนอุดมสมบูรณ์โดยใช้แบคทีเรีย ซึ่งต้องอาศัยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เมื่อทดลองปลูกพืช เช่น ฟักทอง แตงโม กล้วย แล้วเห็นว่าได้ผลผลิตดี ก็มีผู้สนใจเข้ามาเรียนรู้มากขึ้น
“ถ้าชาวบ้านเขาเห็นประโยชน์เขาพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้ที่เราเคยคิดว่าชาวบ้านไม่เปลี่ยนแปลง ชาวบ้านอนุรักษ์นิยม ชาวบ้านดื้อ มันไม่ใช่หรอกครับ เราพิสูจน์ให้ชาวบ้านเห็นสิครับว่าวิธีของเราได้ผลดีกว่า ซึ่งตรงนี้เราต้องเข้าใจนะครับ ในอดีตฝ่ายส่งเสริมการเกษตรมากมายที่เดินเข้าไปช่วยบอกชาวบ้าน แล้วชาวบ้านเขามีข้อสรุปเลยว่าเจ้าหน้าที่
ส่งเสริมบอกให้ไปซ้ายเราไปขวา ถ้าเจ้าหน้าที่ส่งเสริมบอกให้ขึ้นข้างบนเราต้องไปข้างล่าง เพราะเขาเสียหายมาเยอะจากการส่งเสริมที่ไม่ถูกต้อง เป็นปัญหาที่สะสมมานาน” ศ.ดร.กนก ระบุ
เช่นเดียวกันกับคำกล่าวที่ว่า “เกษตรกรเป็นอาชีพที่ทำแล้วยากจนและหนี้ท่วมวันยังค่ำ” ก็มีที่มา ศ.ดร.กนก อธิบายว่า “หากย้อนไปเมื่อหลายสิบปีก่อนรัฐไทยเน้นส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ซึ่งเท่ากับเอาชีวิตไปฝากไว้กับราคาผลผลิตในตลาดโลก เมื่อราคาตกต่ำเกษตรกรก็ขาดทุน” ไม่เว้นแม้แต่ภาคใต้ที่ในอดีตสวนยางพาราและปาล์มน้ำมันเคยเฟื่องฟู แต่ปัจจุบันก็ได้รับผลกระทบเพราะพืชเศรษฐกิจทั้ง 2 ราคาตกต่ำ ซ้ำร้ายด้วยความที่เกษตรเชิงเดี่ยวต้องการที่ดินแปลงใหญ่ ทำให้นำไปสู่ปัญหาการบุกรุกแผ้วถางพื้นที่ป่าด้วย
ทั้งนี้ แม้จะมีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้คณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ ไม่สามารถลงพื้นที่ได้ แต่โครงการนำร่องทั้ง 3 จังหวัดก็ไม่ได้หยุดตามไปด้วย คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในพื้นที่ยังทำงานร่วมกับชาวบ้าน “เป้าหมายปลายทางของโครงการนี้คือเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายมีรายได้เพิ่มขึ้นครัวเรือนละ 1 หมื่นบาทต่อเดือน และเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน” ซึ่งเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง มีการคลายล็อกให้เดินทางได้สะดวกขึ้น คณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ จะได้ติดตามผลและช่วยแก้ปัญหาใหม่ๆ ที่พบระหว่างดำเนินโครงการ
ศ.ดร.กนก ทิ้งท้ายไว้กับ “เฟส 2 ของโครงการ” โดยเปิดเผย 3 จังหวัดที่คณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ เตรียมผลักดันในระยะต่อไป ประกอบด้วย “นครราชสีมา” ที่มีจุดเด่นด้านโคเนื้อมันสำปะหลัง และผ้าไหม “ชุมพร” มีสวนปาล์ม เลี้ยงแพะ และสวนผลไม้ “สมุทรปราการ” พื้นที่ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมไปแล้วเพราะมีโรงงานตั้งอยู่จำนวนมาก แต่ยังมีบางส่วนที่ยังประกอบอาชีพเกษตรและประมง เช่น อ.บางบ่อ ที่มีการเลี้ยงปลาสลิด โดยสำหรับ จ.สมุทรปราการ จะมีการเข้าไปดูเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำเสียจากโรงงานและหมู่บ้านจัดสรรด้วย
“เกษตรกรส่วนใหญ่ทำงานจากประสบการณ์เดิม ภูมิปัญญาเดิม ซึ่งไม่ได้เสียหาย พาเขามาถึงตรงนี้ก็ถือว่าเต็มที่แล้ว ถ้าจะยกระดับให้สูงกว่านี้ต้องใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการจัดการขั้นสูง และอันนี้คือบทบาทที่คณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม จะเข้าไป” รองประธานคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด
ผู้สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการเหล่านี้ ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้ที่เฟซบุ๊คแฟนเพจ “หมู่บ้านแม่นยำ” หรือ https://www.facebook.com/moobaanmaanyaam/
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี