วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวถึงกรณีคำสั่งเลิกจ้างพนักงานเจ้าหน้าที่องค์การค้า ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) จำนวน 961 คน ว่า เป็นการตัดสินใจของคณะกรรมการ สกสค.และการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากพิษของไวรัสโควิด-19 แต่เป็นการประเมินถึงความเหมาะสมในการทำธุรกิจ ซึ่งหลังจากที่ตนได้ปฏิบัติหน้าที่ รมว.ศธ.มาเกือบ 1 ปีแล้ว ได้เห็นวงจรของการผลิตหนังสือและการบริหารจัดการองค์กรที่อยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ จึงสามารถตัดสินใจได้ ต้องยอมรับว่าองค์กรที่มีการขาดทุนอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาร่วมตัดสินใจและตนก็ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูว่าจะมีโอกาสพลิกธุรกิจนี้กลับขึ้นมา
"ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายในการตัดสินใจเรื่องนี้ ก็เสียใจสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่ผมก็มั่นใจว่าในการที่เดินไปข้างหน้า เรารักษาองค์กรใหญ่ คือ สกสค.ซึ่งเป็นองค์กรของครู หากเราปล่อยให้ได้รับผลกระทบในทางที่เป็นลบ การกระทบกระเทือนจะอยู่ในวงกว่างกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบัน"
รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า ส่วนการแต่งตั้ง นายอดุลย์ บุตรสา เป็น ผอ.องค์การค้าฯ ก็กำลังดำเนินการไปตามกฏระเบียบและกฏหมาย ซึ่งสามารถแต่งตั้งได้ ส่วนแนวทางที่จะเดินหน้าต่อไปขององค์การค้านั้น ทาง ผอ.องค์การค้าคนใหม่ ก็ต้องเสนอแผนงานมาภายใน 30 วัน ว่าจะมีแนวทางเดินไปอย่างไร และ ศธ.ก็จะร่วมดูแลในการผลิตหนังสือเรียนในรูปแบบการสอนแบบใหม่ ที่เราต้องมีการปรับตัวเหมือนในช่วงโควิด-19 นี้ เพื่อทำให้องค์การค้ากลับคืนมาเป็นองค์กรที่มีกำไรได้ ส่วนการขับเคลื่อนองค์กรก็มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญมากที่สุดอยู่ ถึงแม้กำลังจะเกษียณก็สามารถทำงานเชื่อมโยงกับ ผอ.องค์การค้าคนใหม่ ในการที่จะวางแผนในอนาคต และดูปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต รวมถึงเป็นที่ปรึกษาในการนำดิจิทัลสมัยใหม่มาขับเคลื่อนองค์กรให้ทันในศตวรรษที่ 21
นายณัฏฐพล กล่าวต่อว่า ตนได้รายงานเรื่องนี้ให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบแล้ว ซึ่งการดำเนินการทุกอย่างก็เป็นไปตามกฏหมาย รวมถึงการชดเลยการเลิกจ้างก็เป็นไปตามกฏหมาย ตนไม่อยากให้วิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่ไม่ทราบเนื้อหาสาระที่แท้จริงและรายละเอียดว่าทำไมคณะกรรมการ สกสค.จึงตัดสินใจในครั้งนี้ ก็เพื่อรักษาองค์กรครู ซึ่งมีผู้ที่เกี่ยวข้องและมีผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ หรือว่าจะเสียผลประโยชน์เป็นจำนวนมาก และเรื่องที่องค์การค้ามีหนี้สินกว่า 6 พันลานบาท ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับการตัดสินใจเลิกจ้างในครั้งนี้ เราไม่สามารถปล่อยให้องค์กรมีหนี้สินต่อเนื่องทุกๆ ปี และไม่มีศักยภาพในการชำระหนี้นั้น ยืนยันว่าเมื่อเราก่อหนี้ขึ้นมาแล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบ ต้องมีความพร้อมที่จะดูแลหนี้สินที่กู้ยืมมา มีแนวทางที่จะทำให้ สกสค.มีโอกาสที่จะสร้างกำไรให้กับตัวเอง แต่การแก้ปัญหานี้คงต้องวางแผนและใช้เวลานานพอสมควร
"ขณะนี้เรายังไม่ได้ยุบองค์การค้าฯ เพราะยังมีเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่ ส่วนผู้ที่ถูกเลิกจ้างจะฟ้องศาลปกครองแรงงานเรียกร้องความเป็นธรรม ก็ไม่เป็นไร ถือเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล แต่ละองค์กร แต่ละหน่วยงาน ซึ่งทางศธ.มั่นใจในการตัดสินใจครั้งนี้ของคณะกรรมการ สกสค. ซึ่งเป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ศธ. และไม่ได้กังวลในเรื่องการที่ต้องต่อสู้คดี ไม่ได้อยากต่อสู้คดี ถ้าหากเราทุกคนมีความตั้งใจกันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าสู่ขบวนการยุติธรรม แต่ก็พร้อมครับ ไม่มีปัญหา" นายณัฏฐพล กล่าว
ด้าน นายอดุลย์ บุตรสา ผอ.องค์การค้าของ สกสค.กล่าวว่า ภายหลังจากที่ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ได้ลงนามเซ็นสัญญาจ้างตนเป็น ผอ.องค์การค้าฯ แล้ว เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2563 เช้าวันนี้ตนจึงเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่เป็นวันแรก และจะนำเสนอแผนงานภายใน 30 วันนี้ ตามข้อกำหนด ส่วนแผนเบื้องต้นก็ต้องทำให้องค์การค้าอยู่ได้ โดยการสร้างรายได้และลดรายจ่ายให้กับองค์การค้าฯ
"ผมอยู่องค์การค้าฯ มานาน แต่มาในสถานการณ์นี้ก็รู้สึกหนักใจ เมื่ออาสามาแล้วก็ต้องทุ่มเทในการทำงาน ผมอยากแก้ไขให้องค์การค้ารุ่งเรืองและเป็นที่ไว้วางใจของสังคม และหากทำงานครบ 6 เดือนแรก จะมีการประเมินผลงานตามสัญญาจ้าง ผมก็จะตั้งใจทำงานในช่วงนี้ให้ดีที่สุด และข้อความร่วมมือทุกคนให้ช่วยกันทำให้องค์การค้าฯดีขึ้น" นายอดุลย์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี