“สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19” ที่ลุกลามไปทั่วโลก ส่งผลกระทบหลากหลายมิติทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจและสังคม จนทำให้ไม่ว่าภาคส่วนใดก็ต้องปรับตัวตามแนวคิด “นิว นอร์มอล (New Normal)” หรือชีวิตวิถีใหม่ ทำให้ สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ ร่วมกับ 8 องค์กรเครือข่ายจัดทำโครงการ “คิดใหม่ ไทยก้าวต่อ” ระดมสมองวางแนวทางช่วยคนไทยปรับตัวให้เท่าทันกับสังคมโลกที่เปลี่ยนไป ศึกษาความรู้ใหม่ ปรับรูปแบบทำงาน สร้างงานเพิ่ม ลดการกระจุกตัวด้านธุรกิจ โดยเริ่มที่ “ภาคใต้” ของไทย
ประสิทธิ์ โอสถานนท์ ที่ปรึกษาสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ อธิบายว่า กรอบความคิดหลักของโครงการมีประเด็นวิเคราะห์ที่สำคัญ เช่น บริบทของสังคมโลกและประเทศไทยก่อนวิกฤติโควิด-19, โควิด-19 ได้ส่งผลอะไรต่อสังคมโลกและประเทศไทยบ้าง, สังคมโลกต้องเปลี่ยนและประเทศไทยต้องปรับอะไร, ทิศทางที่ควรจะเป็นเป็นเช่นไร, คนไทยมีความพร้อมต่อการปรับเปลี่ยนมากน้อยเพียงใด, หากจำเป็นต้องปรับหรือเปลี่ยนต้องเตรียมการอย่างไร และหารูปแบบที่เหมาะสมในการขับเคลื่อนสังคมไทย
สันติ รังสิยาภรณ์รัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานภาคใต้ กล่าวว่า ภาพรวมของโครงสร้างเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ในภาคการเกษตร ร้อยละ 20 ในจำนวนนี้เกือบร้อยละ 60 ปลูกยางพารา อีกร้อยละ 20 ปลูกปาล์มน้ำมัน ที่เหลือจะเป็นการเลี้ยงกุ้งขาว และสวนผลไม้ ส่วนภาคการท่องเที่ยวและที่พักอยู่ที่ร้อยละ 70 ซึ่งกระจุกตัวในฝั่งอันดามันและต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างประเทศ เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 ภาคการผลิตที่เน้นส่งออกก็กระทบหนัก เพราะถูกระงับการสั่งซื้อเกือบทั้งหมด
ซึ่งเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2/63 ภาคใต้ทุกส่วนจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งการใช้จ่ายภาคเอกชน การท่องเที่ยวและการลงทุน แต่การใช้จ่ายภาครัฐ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือยังช่วยพยุงเศรษฐกิจ ส่วนภาคค้าปลีก-ค้าส่ง ปรับตัวค่อนข้างดีในบางกลุ่มโดยหันไปพึ่งพาเทคโนโลยี เช่น ค้าขายออนไลน์จึงทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับพฤติกรรมใหม่ เช่น แรงงานอาจจะไม่เคลื่อนย้ายไปตามพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ดังนั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะต้องเคลื่อนที่ไปหาแรงงาน เทคโนโลยีจึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยอาจรองรับหรือทดแทนแรงงาน
ขณะที่ สมบูรณ์ พฤกษานุศักดิ์ ที่ปรึกษาสภาอุตสาหกรรมภาคใต้ เปิดเผยว่า ก่อนไวรัสโควิด-19 ระบาด เศรษฐกิจโลกก็ชะลอตัวอยู่แล้วรวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศลดลงหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น แม้การแพร่ระบาดในประเทศเริ่มคลี่คลาย แต่ก็เกิดการระบาดระลอกสองในหลายประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยอาจต้องเลื่อนแผนเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวขยับออกไปอีก
“ภาครัฐควรขยายกรอบเวลามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่กำลังจะสิ้นสุด ให้ยาวไปจนถึงสิ้นปี 2563 เช่น การพักหนี้ ลดการส่งเงินประกันสังคม เพื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการ และต้องเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณภาครัฐ โดยเฉพาะงบในโครงการลงทุนของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ” ที่ปรึกษาสภาอุตสาหกรรมภาคใต้ ให้ความเห็น
เช่นเดียวกับ ณัฐนนท์ พงษ์ธัญญะวิริยา ประธานหอการค้าจังหวัดปัตตานี ที่กล่าวว่า ภาพรวมในการจ้างงานและช่วยเหลือภาคการเกษตรและเศรษฐกิจฐานราก โดยสถานการณ์โดยรวมของพื้นที่ประเทศจากไตรมาสที่ 2/63 ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศ ติดลบร้อยละ 10-15 และไตรมาสที่ 3/63 ยังติดลบร้อยละ 8-10 โดยที่ประเทศไทยพึ่งพาเม็ดเงินจากต่างประเทศทั้งการท่องเที่ยวและการส่งออก
“เมื่อเกิดไวรัสโควิด-19 ระบาดทำให้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว สำหรับภาคใต้เองนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียประมาณ 5 ล้านคนต่อปี และภาคการส่งออกโดยประมาณแล้วลดลง 30% ดังนั้นการปรับตัวคือจะต้องเที่ยวกันเอง เป็นลักษณะการเที่ยวในพื้นที่ใกล้เคียงกันก่อน การท่องเที่ยวในพื้นที่ใกล้เคียงดีขึ้นแล้ว จากนั้นก็โปรโมทในพื้นที่ภูมิภาคเดียวกัน” ณัฐนนท์ กล่าว
ประธานหอการค้าจังหวัดปัตตานี ยังกล่าวอีกว่า “เมื่อยังเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ได้ ก็ต้องท่องเที่ยวกันเองภายในประเทศ” เริ่มจากการท่องเที่ยวในพื้นที่ใกล้เคียง แล้วขยับไปสู่ภูมิภาคเดียวกัน จะช่วยกระตุ้นในภาคการท่องเที่ยวได้ “ส่วนเกษตรกรก็ต้องหาอาชีพเสริม” เช่น การเลี้ยงแพะ ไก่เบตง วัว เพาะพันธ์ุปูทะเล ปลูกเมล่อน ซึ่งเป็นแนวทางที่สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ กำลังส่งเสริมในพื้นที่ใต้ซึ่งได้ผลอย่างดีโดยเชื่อว่าการยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะช่วยให้คนไทยฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปได้
อีกด้านหนึ่ง ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้(ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) เดิมก็มีปัญหาเศรษฐกิจอันเป็นผลพวงจากปัญหาความรุนแรงในพื้นที่อยู่แล้ว ยิ่งเจอวิกฤติโควิด-19 ยิ่งซ้ำเติมให้เศรษฐกิจซบเซาลงไปอีก สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ ได้จัดทำโครงการ “ทุเรียนคุณภาพ” หรือโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพ สร้างรายได้กว่า 60 ล้านบาท
ซึ่งหัวใจสำคัญของโครงการทุเรียนคุณภาพ คือ วางแผนเพาะปลูกอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งระบบน้ำ สภาพดิน การใส่ปุ๋ยคัดดอกที่สมบูรณ์ ผสมเกสร ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ตัดแต่งผลทุเรียน เพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพสูง โดยมีอาสาสมัครนับร้อยคนคอยดูแลให้คำแนะนำใกล้ชิด โดย เอกพล เพ็ชรพวง อดีตข้าราชการครูซึ่งลาออกมาทำเกษตรกรต่อจากพ่อ ปัจจุบันเป็นรองประธานกลุ่มทุเรียนแปลงใหญ่ และเป็นอาสาทุเรียน เล่าว่า ตนเองจบสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตยะลา ไปเป็นอาจารย์สอนที่จ.ภูเก็ต 1 ปี และกลับมาสอนที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส 3 ปี
จากนั้นจึงได้ผันชีวิตตนเองมาเป็นเกษตรกร โดยมาช่วยสานต่อไร่ของพ่อซึ่งมีอายุมากแล้ว จึงอยากเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระบ้างโดยการนำทุเรียน 65 ต้น บนพื้นที่ 40 ไร่ใน ต.กาหลง อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เข้าร่วมโครงการฯ ทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มมากขึ้นและมีคุณภาพสูงขึ้น สามารถขายได้ราคาดีกว่าในอดีตหลายเท่าตัว เมื่อก่อนทุเรียนใน 3 จังหวัดใต้กิโลกรัมละ 35 บาท หลังจากโครงการทุเรียนคุณภาพของมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ เข้ามาช่วยพัฒนา จนราคาทะลุ 100 กว่าบาท ต้องจ้างคนมานอนเฝ้าเพราะมีมูลค่าหลักล้านบาท
“แม้แต่นายหน้าชาวจีนยังลงมาถึง3 จังหวัดเพื่อขอซื้อเหมาสวน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” เอกพล กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี