โพลล์ระบุ 93% หนุนเพิ่มโทษหนัก ติดคุกไม่รอลงอาญา กรณีคนเมาแล้วขับทำผิดซ้ำสอง ส่วนผู้ขายต้องมีส่วนร่วม รับผิดชอบ เพื่อลดความสูญเสียบนถนน สร้างความตระหนัก ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสังคม
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่โรงแรมแมนดาริน สามย่าน ในเวทีเสวนา “อุบัติเหตุดื่มแล้วขับกับความผิดซ้ำ และการขายอย่างรับผิดชอบ” จัดโดย เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย
นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผอ.สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส. กล่าวว่า สสส.เริ่มดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนตั้งแต่ปี2546 โดยสนับสนุนภาคีเครือข่ายเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่อง และร่วมส่งเสริมการสร้างมาตรการองค์กรและมาตรการชุมชนเพื่อความปลอดภัยทางถนน จากข้อมูลคดีที่เข้าสู่กระบวนการคุมความประพฤติจาก กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ในเดือนเมษายน ปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19มี17,584คน ลดลงเหลือเพียง 550คน ในปี 2563ของเดือนเดียวกัน หรือคิดเป็นลดลงร้อยละ 96.8
ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญมาจาก การประกาศเคอร์ฟิว การห้ามจำหน่ายสุรา รวมถึงการปิดผับบาร์ ซึ่งส่งผลโดยตรงทำให้มีผู้ที่มีพฤติกรรมดื่มแล้วขับลดลง สะท้อนให้เห็นว่าการเอาจริงเอาจังของการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการตรวจจับดื่มแล้วขับ เป็นปัจจัยสำคัญในการลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนได้ ดังนั้น การสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี จะยิ่งช่วยให้ลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่อง
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) กล่าวว่า จากข้อมูลผลสำรวจของสวนดุสิตโพลต่อมาตรการเพิ่มโทษและห้ามการรอลงอาญาในความผิด “ดื่มแล้วขับ” ในกลุ่มตัวอย่าง 2,152ราย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่า กว่าครึ่ง ร้อยละ56.37 เคยพบเห็นหรือตกอยู่ในเหตุการณ์เมาแล้วขับ โดยเกือบทั้งหมด ร้อยละ 93.96 เห็นด้วยว่าควรมีการเพิ่มโทษ สำหรับผู้ที่ทำผิดซ้ำ ในข้อหาขับรถขณะเมาสุรา และร้อยละ 87.45 เห็นด้วยหากผู้ที่กระทำผิดซ้ำในข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นครั้งที่สองควรถูกตัดสินโทษจำคุกอย่างเดียวโดยไม่รอลงอาญา
นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างยังเห็นด้วยว่า การบังคับใช้กฎหมายจราจรที่มีประสิทธิภาพ เคารพกฎหมาย จะช่วยลดอุบัติเหตุได้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ “เมาขับ” กลับมาสร้างความสูญเสียอีก จึงเสนอข้อพิจารณาให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้มีมาตรการที่ไปพร้อมๆ กัน ตั้งแต่ต้น-กลางและปลายน้ำ แต่ในระยะเร่งด่วนนี้ ให้มีมาตรการบังคับใช้กฎหมาย “โทษหนักบังคับเข้ม” เพื่อสร้างความตะหนักและปรับเปลี่ยนสังคม
นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่า ธุรกิจน้ำเมาเป็นธุรกิจที่ไม่ปกติ เพราะตัวสินค้าทำให้เกิดปัญหา ทั้งอุบัติเหตุ ความรุนแรงในครอบครัว การทะเลาะวิวาท ฯลฯ สิ่งสำคัญทำอย่างไรให้คนไทยรู้ถึงพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมูลนิธิเมาไม่ขับ เห็นด้วยกับการรณรงค์ให้คนไทยลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนคนที่ดื่ม อย่าได้ออกมาขับรถอย่างเด็ดขาด เพราะมีความผิดตามกฎหมายโทษจำคุกไม่เกิน 1ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนั้นแล้วยังมีภาวะเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนทั้งกับตนเองและผู้อื่น เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี