วัฒนธรรมการสักบนผิวหนัง การสักลวดลายบนผิวหนังหรือที่เรียกว่าสักลายหรือสักยันต์เป็นวัฒธรรมอย่างหนึ่งของไทย ที่มีมาช้านานแต่ทุกวันนี้ลายสักหรือสักยันต์ตามความเชื่ออย่างโบราณนั้นได้ แปลเปลี่ยนไปจากโบราณไปอย่างมาก ทั้งวิธีการสักและลวดลายภาพที่มีความวิจิตรบรรจงมากขึ้น เรื่องราวของลายสักของคนไทยเป็นสิ่งที่น่าศึกษาค้นคว้าเรื่องหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจใคร่ศึกษามากนัก ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมพื้นบ้านอย่างหนึ่งและนับวันจะสูญหายไป
"สัก" คืออะไร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยถาน พ.ศ. 2525 เขียนว่า สัก คือ การเอาเหล็กแหลมแทงลงด้วยวิธี การหรือเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ กัน, ใช้เหล็กแหลมจุ้มหมึกหรือน้ำมันแทงที่ผิวหนังให้เป็นอักขระ เครื่องหมายหรือลวดลาย, ถ้าใช้หมึกเรียกว่า สักหมึก, ถ้าใช้น้ำมันเรียกว่า สักน้ำมัน ทำเครื่องหมายสักเพื่อแสดงเป็นหลักฐาน เช่น "สักข้อมือ แสดงว่าได้ขึ้นทะเบียนเป็นชายฉกรรจ์หรือ มีสังกัดกรมกองแล้ว สักหน้า แสดงว่าเป็นผู้ต้องโทษปราชิก เป็นต้น จากคำอธิบายดังกล่าวทำให้รู้ว่า การสักลายหรือลายสักของไทยคืออะไร ประเพณีการสักนั้นมีไม่แพร่หลาย บางหมู่บ้านจะพบว่า ผู้ชายไม่ว่าหนุ่มหรือแก่มักมีลายสักที่หน้าอก และแผ่นหลังตามสมัยนิยม ในขณะที่ผู้ชำนาญในการสักของท้องถิ่นแสดงความสามารถที่สืบทอดมาอย่างเต็มที่ ผู้ที่ทำหน้าที่สักมีทั้งพระสงฆ์และคนธรรมดา
อาจารย์ เอ เป็นฆราวาส ศิษย์หลวงพ่อแป๊ะ แห่งวัดสว่างอารมณ์ (แคแถว) จ.นครปฐม ได้ศึกษาเล่าเรียนการสักยันต์กับหลวงพ่อแป๊ะมาหลายปีในขณะที่บวชอยู่ที่วัด จนในวันนี้หลวงแป๊ะก็ได้ให้อาจารย์เอสักยันต์เองเพียงคนเดียว และจะมีลูกศิษย์ลูกหามาให้สักยันต์เป็นจำนวนมากเกือบทุกวัน และถ้าเป็นวันอาทิตย์ด้วยแล้วจะมีคนมาสักนับ 100 คน เลยที่เดียว ส่วนค่าไหว้ครูนั้นทางอาจารย์เอได้บอกว่าเพียงแค่200 บาท และบุหรี่ 1 ซองเท่านั้น จะสักรูปอะไรก็ได้ ที่ผ่านมาก็มีดารานักแสดงตลกชื่อดังมาสักยันต์ 5 แถวกันหลายคน จะเห็นได้จากวันที่ไหว้ครูที่ผ่านมา
หลวงพ่อพระอาจารย์แป๊ะ บอกว่า การสักยันต์ไม่ใช่ว่าเป็นการสักแล้วไปอวดอำนาจบารมีว่า หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้าเป็นความเชื่อแบบผิดๆ ถ้าสักยันต์ไปแล้วไปทำเลวครูบาอาจารย์ก็ไม่ช่วยแต่ถ้าสักยันต์ไปแล้วคิดดีทำดีไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่นครูบาอาจารย์ก็จะให้ในสิ่งที่ดีๆ ในหน้าที่การงานและสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตของเราเอง
เมื่อค่ำคืนวันพิธีครอบครู ที่ วัดสว่างอารมณ์ โดยมีท่านพระครูยุติธรรมมานุยุติ หรืออาจารย์แป๊ะ เจ้าอาวาสลงทำพิธีด้วยตนเอง และได้นำเศียรพ่อแก่ ฝังเพชรพลอยราคากว่า 1 แสนบาท ที่ศิษย์ยานุศิษย์นำมาถวาย ครอบครูให้เป็นสิริมงคล โดยในช่วงหัวค่ำมีศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนที่เคารพเดินทางมากันเป็นจำนวนมากท่ามกลางเสียงหวีดร้องและคำราม จากผู้ที่สักยันต์ ผู้ที่ถูกของ และมีองค์ในตัว นอกจากนี้บางรายยังได้ลุกขึ้นมาร้องรำทำเพลง และเต้นอย่างเลื่อนลอยคล้ายคนไม่เป็นตัวของตัวเอง
หลวงพ่อพระอาจารย์แป๊ะ กล่าอีกว่า ในโบราณคนที่ต้องธรณี เขาถือกัน คนที่ตีตะโพน ตีระนาด และการยกศพหามศพ ถ้าไม่มีการครอบครู ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ซวย หรือการทำบายศรีก็แล้วแต่ก็ต้องครอบครู สำหรับคนที่สักยันต์และไม่สักยันต์ จะมีความแตกต่างกันหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อและพลังจิตของเขา ส่วนผู้ที่ครอบครูแล้วแสดงท่าทางและอาการแปลก ๆ นั้นสามารถแบ่งออกเป็น 3 จำพวก คือพวกถูกของหรือถูกกระทำยำยีต่าง ๆ พวกที่สักยันต์ และพวกที่มีองค์และพวกที่มีเทวดาประจำตัว ซึ่งเมื่อทำพิธีครอบครูก็จะมีอาการที่แสดงให้เห็นทันที และสำหรับในปีนี้มีชาวบ้านมาครอบครูจำนวนมากกว่าทุกปี ซึ่งอาจจะเป็นเพราะบ้านเมืองเริ่มสงบ และรัฐบาลยกเลิกเคอร์ฟิวด้วยจึงทำให้ผู้คนและศิลปินออกมากันเยอะ ส่วนใหญ่ก็มีความเชื่อว่าเมื่อครอบครูแล้วก็จะได้รับแต่สิ่งดีๆ และเป็นศิริมงคลในการประกอบอาชีพแก่ตนเอง
ณรงค์ฤทธิ์ กิจเจริญ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี